วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

นิเวศวิทยาต้นลิงลาว

นิเวศวิทยาต้นลิงลาว 

By Sawing Khuntasa

ประวัติความเป็นมา
ต้นลิงลาวเป็นพืชป่าชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของชุมชนในแถบเทือกเขาผีปันน้ำ พบมีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในพื้นที่สูงทางภาคเหนือ บริเวณเทือกเขาผีปันน้ำ เขตติดต่อระหว่าง จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และลำปางพบว่าชุมชนมีการใช้ประโยชน์จากต้นลิงลาวโดยการนำดอกมาประกอบอาหารเป็นกิจวัตรมาไม่น้อยกว่า 120 ปี    จากการสืบค้นประวัติความเป็นมาของต้นลิงลาวไม่เป็นที่ปรากฏว่า ที่มาของชื่อ ลิงลาว หรือ นางลาว มาจากที่ใด แต่ มีผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ตำบลเทพเสด็จ และพ่อหลวงถวิล สักกะโต ผู้ใหญ่บ้านพงษ์ทอง หมู่ 5 ตำบลเทพเสด็จสันนิษฐานว่า อาจจะมีที่มาจากดอกของต้นลิงลาว มีลักษณะคล้าย ๆ หางของลิงที่อยู่ในประเทศลาว   และอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง ก็คือการเรียกชื่อตามคำเรียกของชนเผ่าขมุ ที่อพยพมาจากเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว เรียกชื่อและนำมาใช้ประโยชน์ในการรับประทานเป็นอาหาร จึงเรียกชื่อ ดอกลิงลาว   ตามกันมาจนถึงปัจจุบัน 
                  จากการบอกเล่าของป้าบัวลอย ใจกล้า บ้านพงษ์ทองและผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่  พบว่าต้นลิงลาวเป็นพืชป่า ที่พบได้โดยทั่วไปในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ดินปนหินหรือพื้นดินชื้น ๆ แต่ไม่ถึงกับแฉะ   มักจะพบในบริเวณหน้าผาสูงและที่ลาดชัน ใกล้ ๆ  ลำห้วย โดยจะพบการกระจายพันธุ์เต็มพื้นที่ ซึ่งบางจุดอาจมีต้นลิงลาวมากกว่า 50 – 60 กอ เลยทีเดียว   ชาวบ้านตำบลเทพเสด็จมีการนำดอกลิงลาวมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารมาไม่ต่ำกว่า 120 ปีมาแล้ว ในอดีตเมื่อถึง เดือน พฤศจิกายน มกราคม ของทุกปี ต้นลิงลาวป่าจะพร้อมใจกันออกดอกที่มีสีม่วงสวยงาม พร้อม ๆ กัน ในช่วงนั้นชาวบ้านก็จะพากันเดินทางเข้าพื้นที่ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านเพื่อไปเก็บและนำดอกลิงลาวมาประกอบอาหารในครัวเรือน เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่มีการซื้อขายดอกลิงลาวและพื้นที่ป่าก็มีดอกลิงลาวอยู่ใกล้บ้านจึงไม่พบว่ามีผู้ใดนำดอกลิงลาวมาปลูกในพื้นที่ทำกินของตนเองแต่อย่างใด   


       ต้นลิงลาวเป็นพืชป่าที่ดอกมีรสชาติเฉพาะตัว เมื่อนำมาประกอบอาหาร เช่น เครื่องเคียงลาบ นำมาแกง  หรือลวกจิ้มน้ำพริก จะมีรสขมปนหวานนิด ๆ ทำให้รสชาติอาหารมีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านในพื้นที่  จึงมีผู้นิยมบริโภคเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อมาประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการหาดอกลิงลาวในป่าเริ่มลำบาก เนื่องจากพื้นที่ป่าเริ่มอยู่ใกลบ้านและมีผู้เข้าไปหาเพิ่มขึ้นทำให้หาลำบาก ชาวบ้านจึงมีการนำต้นลิงลาวมาเพาะขยายพันธุ์ในพื้นที่บ้านเรือนและในพื้นที่ไร่สวนของตัวเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อ 7 – 8 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ดอกลิงลาวเริ่มมีราคาค่างวดขึ้น บางปีสามารถจำหน่ายได้ถึง กิโลกรัมละ 120 บาท จึงมีการนำต้นลิงลาวจากพื้นที่ป่ามาเพาะปลูกในพื้นที่ไร่สวนเพิ่มมากขึ้น  ทำให้ต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าหายากมากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของทีมวิจัยและกลุ่มอนุรักษ์ดอกลิงลาวตำบลเทพเสด็จ  ที่พบว่ามีต้นลิงลาวตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเหลืออยู่ในปริมาณที่ไม่มากนัก  แต่จะพบมีการขยายพันธุ์มากในพื้นที่สวน เมี่ยง- กาแฟ ของชุมชน

ลักษณะต้นลิงลาว
ตามธรรมชาติต้นลิงลาวจะมีการกระจายพันธุ์ในลักษณะเป็นกลุ่ม ๆ ละ 10 – 30 กอ ในบริเวณพื้นที่ราบริมห้วย ชะง่อนผา หน้าผาที่เป็นดินปนหินผุ และบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา โดยอยู่รวมกันหนาแน่นในระยะห่างจากลำห้วยประมาณ 2 – 15 เมตร ชอบขึ้นในพื้นที่ใต้ร่มไม้ยืนต้นมีแสงส่องรำไร พื้นที่มีความชื้นสูง อุณหภูมิเย็นคงที่ตลอดปี ความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง ประมาณ 900 – 1,300 เมตร ใบอ่อนไหวต่อแสงมาก โดยต้นที่โดนแดดเต็มที่ใบจะแห้งและไหม้เกรียม ลักษณะลำต้นไม่สมบูรณ์
ปัจจุบันพบต้นลิงลาวป่าที่อยู่ในช่วงโตเต็มที่ไม่มากนัก จากการสำรวจตามเส้นทางต่าง ๆ ต้นลิงลาวที่เหลือ ยู่ตามธรรมชาติส่วนใหญ่  จะมีอายุอยู่ในช่วงประมาณ 1 – 3 ปี ซึ่งจะมีขนาดลำต้นไม่ใหญ่มากนัก ส่วนใหญ่งอกมาจากเหง้าหรือรากต้นแม่เดิม ซึ่งเกิดจากการที่ชาวบ้านเข้าไปขุดต้นลิงลาวป่ามาปลูกในพื้นที่ไร่สวนของตัวเองนั่นเอง ทีมวิจัยจึงทำการศึกษาและสำรวจนิเวศวิทยาต้นลิงลาวที่โตเต็มที่ในพื้นที่ทำกินของชาวบ้านควบคู่ไปด้วย โดยต้นลิงลาวทั่วไปมีลักษณะดังนี้ 
            ต้นลิงลาว  มีลักษณะเป็นไม้พุ่มอายุหลายปี โตเต็มที่ในช่วงอายุ 5 ปีขึ้นไป ลักษณะกอคล้ายต้นพลับพลึงแต่กอเล็กและใบเขียวสดกว่า    ลำต้นลักษณะเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มีการแทงลำต้นออกเป็นหลาย ๆ ต้นในหนึ่งกอ   เมื่อโตเต็มที่กอหนึ่งจะมีลำต้นเฉลี่ยประมาณ 30 – 50 ต้น และเหง้ามีการยกตัวโผล่พ้นดินเห็นได้ชัดเจน ความสูงของกอต้นลิงลาวเมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 1.2 - 1.5 เมตร ทรงพุ่มกว้างประมาณ 2 – 2.5 เมตร  
ใบ  มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรอบเหง้า  รูปขอบขนาน  เมื่อโตเต็มที่ใบจะกว้างประมาณ  10 – 15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 100 – 120 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบรูปลิ่ม ขอบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา เส้นใบไม่ชัดเจน ใบมีสีเขียวสดเป็นมันวาว 
ดอก  จะมีการออกดอกตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน มกราคม ของทุกปี  ดอกจะออกเป็นช่อ ตามจำนวนต้นที่อยู่ในกอนั้น ๆ  แต่ละต้นในกอจะออกดอกไม่พร้อมกัน สลับกันออกดอกในแต่ละกอ   ดอกออกเป็นช่อกระจะ  ยาวประมาณ  15 – 40  เซนติเมตร  ก้านดอกมี ลักษณะ  คือก้านสีเขียว  ก้านสีขาวอมม่วง  และก้านใบสีม่วงแก่   ดอกออกมี  ลักษณะ  คือ   ดอกสีเขียวปนม่วง  ดอกสีขาวอมม่วง และดอกสีม่วงเข้ม   ขณะเมื่ออ่อนดอกเรียงกันเป็นกระจุกแน่น  แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น  ก้านดอกจะยืดยาวขึ้นทำให้ดอกอยู่ห่างกัน มีใบประดับสีขาว รูปยาวแคบ  ปลายแหลม กลีบเลี้ยง กลีบ ขนาดเล็กมาก  สีขาว รูปไข่กว้าง  กลีบดอก กลีบเรียงซ้อนกัน  ความยาวประมาณ  2 – 3 เซนติเมตร   เกสรตัวผู้มีก้านเกสรสีขาว ยาวประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร  รังไข่สีขาว  อยู่เหนือวงกลีบดอก 
ผล  มีลักษณะกลม  ผิวขรุขระ  เปลือกค่อนข้างหนา  ผลหนุ่มมีลักษณะเป็นสีเขียวจัดปนน้ำตาล ผลแก่ เป็นสีน้ำตาลออกม่วง  ผลมีขนาดประมาณ  4 – 6 เซนติเมตร   ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 3 – 4 เมล็ด เมล็ดหนุ่มส่วนใหญ่มีสีขาวใส เมล็ดแก่จะมีสีขาวออกน้ำตาล เนื้อแน่นแข็ง ขนาด 1-2 เซนติเมตร   





2.3 สายพันธุ์ต้นลิงลาว   
       จากการนำตัวอย่างต้นและดอก ต้นลิงลาว จำนวน ตัวอย่าง จากพื้นที่ไปตรวจสอบความแตกต่างด้านชนิดพันธุ์กับ ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชจาก หอพรรณพืช  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  พบว่าเพียง 1 สายพันธุ์ คือ นางลาว(Tupistra albiflora  K. Larsen)  จากคำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญ ชนิดพันธุ์อาจจะมีก้านและดอกที่มีสีแตกต่างกันได้ จึงไม่ถือว่าเป็นคนละสายพันธุ์กัน    แต่อย่างไรก็ตาม  จากการได้มีส่วนร่วมในการสังเกต  สัมภาษณ์และเดินสำรวจของอาสาสมัครชุมชน พบว่า มีความแตกต่างบางอย่างของต้นลิงลาวในแต่ละต้นที่อยู่ในป่าและไร่สวนของชุมชน โดยตามภูมิปัญญาชุมชนพบว่า แม่พันธุ์แต่ละต้นจะมีลักษณะการออกดอกที่เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์ของตนเองชัดเจน เมื่อมีการนำมาปลูกขยายพันธุ์ภายในพื้นที่ทำกิน ไม่ส่งผลให้ต้นลูกที่เกิดจากเมล็ดและการแยกกอ เปลี่ยนสีไปจากต้นแม่แต่ประการใด  จากการสรุปข้อมูลร่วมกัน ชุมชนได้มีการแยกต้นลิงลาวในพื้นที่ออกเป็นออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้  
 2.3.1  พันธุ์ก้านสีเขียว ลักษณะกอมีขนาดใหญ่   กอใหญ่สุดกว้างประมาณ  2 – 2.5  เมตร สูงสุด ประมาณ  1.5  เมตร  ใบยาวและกว้าง กว่าพันธุ์ก้านสีม่วง   ใบยาวเรียว   ดอกและก้านมีขนาดใหญ่ แต่ขนาดเล็กกว่าพันธุ์ก้านสีขาวเล็กน้อย  ก้านดอกมีสีเขียวยาว   ดอกออกชิดกันค่อนข้างแน่น  กลีบรองดอกครึ่งล่างมีสีเขียว ด้านบนเป็นสีม่วงแต่สีอ่อนกว่าพันธุ์ก้านม่วงเล็กน้อย   ในการจำหน่ายและบริโภค  ดอกจะให้น้ำหนักค่อนข้างดี รสชาติหวานนำปนขม  ไม่มีรสเฝื่อน ใบเล็กกว่าพันธุ์ก้านสีขาว   เล็กน้อย  ชุมชนนิยมนำมาบริโภคและจำหน่าย    
2.3.2  พันธุ์ก้านสีขาว   ลักษณะกอมีขนาดใหญ่   กอใหญ่สุดกว้างประมาณ  2 – 2.5  เมตร สูงสุด ประมาณ  1.5  เมตร  ใบยาวและกว้าง กว่าพันธุ์ก้านสีม่วง  ดอกก้านดอกมีสีขาวปนม่วงเล็กน้อย ดอกและก้านมีขนาดใหญ่  ก้านดอกสั้นกว่าทุกชนิด ดอกออกค่อนข้างห่างกัน  กลีบรองดอกครึ่งล่างมีสีขาว ด้านบนเป็นสีม่วง ข้อเสียดอกมักเปราะ และหักง่าย   ข้อดี  ดอกให้น้ำหนักดี   รสชาติ รสหวานปนขม ไม่เฝื่อน เป็นที่นิยมนำมาบริโภค
2.3.3  พันธุ์ก้านสีม่วง  ลักษณะกอเล็กกว่าพันธุ์อื่นเล็กน้อย  ใบลักษณะลีบเล็กกว่าชนิดพันธุ์ก้านเขียวและก้านขาว ความกว้างส่วนมากประมาณ  5  – 9  เซนติเมตร  ก้านดอกมีลักษณะยาวค่อนค่างลีบและเล็กกว่าชนิดอื่น ๆ  ก้านดอกมีสีม่วงปนขาวเล็กน้อยเห็นได้ชัดเจน ดอกออกเป็นช่อห่างกัน ปลายมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกมีสีม่วงจัด ก้านเหนียวไม่เปราะหักง่ายเหมือนพันธุ์ก้านสีขาว    ด้านการจำหน่าย พันธุ์ก้านสีม่วงให้น้ำหนักไม่ค่อยดี   รสชาติมีรสขมจัด  และเฝื่อนเล็กน้อย  ไม่เป็นที่นิยมนำมาขยายพันธุ์ในสวนและบริโภคภายในชุมชนเท่าใดนัก    

ลักษณะดอกสีม่วง
ลักษณะก้านดอกสีขาว

ลักษณะก้านดอกสีเขียว

2.4   การขยายพันธุ์ต้นลิงลาว 
         การเรียนรู้เรื่องการเพาะขยายพันธุ์ต้นลิงลาวเกิดขึ้นในเมื่อชาวบ้านต้องการที่จะนำต้นลิงลาวมาปลูกในพื้นที่ทำกินของตนเอง และได้รับการพัฒนาวิธีการปลูกในรูปแบบการลองผิดลองถูกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่เดิมการขยายพันธุ์ต้นลิงลาวนิยมการใช้วิธีการแยกลำต้นและนำมาปลูกในพื้นที่ จนต่อมาเมื่อประมาณ 7 ปีที่ผ่านมาได้มีการหาความรู้และวิธีการเพาะขยายพันธุ์ต้นลิงลาวด้วยวิธีต่าง ๆ จนปัจจุบัน พบว่าในพื้นที่ตำบลเทพเสด็จมีวิธีการขยายพันธุ์ต้นลิงลาว 3 วิธี ด้วยกันดังนี้
   2.4.1   การขยายพันธุ์โดยแยกลำต้น เป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวบ้าน การขยายพันธุ์ จะใช้ต้นลิงลาวที่มีอายุระหว่าง 5 – 7 ปี เนื่องจากลำต้นอยู่รวมกันเป็นกอขนาดใหญ่และลำต้นเรียงกันอยู่แน่นขนัด ถ้าไม่มีการแยกขยายหรือตัดแต่งจะทำให้ลำต้นลีบเล็ก และผลผลิตดอกลิงลาวเริ่มน้อยลง   สำหรับลำต้นที่จะแยกปลูกจะต้องมีลักษณะเป็นลำต้นที่มีรากติดอยู่แต่อยู่บนเหง้า วิธีการแยกขยายไม่จำเป็นต้องขุดทั้งต้น แต่ใช้เสียมหรือเลื่อย มาเฉือนบริเวณลำต้นลิงลาวด้านบนเหง้า ให้มีรากติดอยู่กับลำต้นเล็กน้อย จากนั้นนำลำต้นมาปลูก โดยขุดหลุมลึกประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร กว้างประมาณ 20 เซนติเมตร  โดยจะนำลำต้นลิงลาวปลูกหลุมละ 3 – 5   โดยต้นลิงลาวที่ปลูกแล้วจะสามารถให้ผลผลิตได้หลังจากปลูกประมาณ 1 – 2  ปี
   2.4.2 การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด   เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่สามารถทำได้ทีละมาก ๆ  แต่ให้ผลผลิตค่อนข้างช้ากว่าทุกวิธีการ เนื่องจากต้นอ่อนต้องใช้เวลาอย่างน้อย  5 – 7   ปี ในการให้ผลผลิต  วิธีการเพาะชาวบ้านจะเก็บผลแก่ของต้นลิงลาว ที่อายุประมาณ 1 ปี  โดยจะเก็บในช่วง เดือนพฤศจิกายน -  ธันวาคม  เมื่อได้ผลแก่มาแล้วก็นำมาตากให้แห้งโดยวิธีการผึ่งลม ชาวบ้านจะไม่นำผลลิงลาวมาตากแดดเนื่องจากจะทำให้เมล็ดได้รับความเสียหายและเพาะไม่ค่อยออก   พอแห้งบ้างเล็กน้อยก็นำผลลิงลาวมีมาปอกเอาเมล็ดแก่ที่อยู่ในผลออกมา โดย 1 ผลจะมีประมาณ  3-4 เมล็ด จากนั้นก็นำมาหว่านในกระบะทราย นำแสลมมาคลุมเพื่อป้องกันมิให้ได้รับแสงมากเกินไป หรือจะเพาะใต้ร่มไม้ก็ได้ รดน้ำอาทิตย์ละ 3 – 5 ครั้ง แต่ไม่ให้กระบะทรายแฉะจนเกินไปประมาณ   3 -  5  เดือน ต้นกล้าก็จะงอกออกมามีลำต้นยาวประมาณ  5 – 10  เซนติเมตร   ให้แยกต้นกล้ามาเพาะในถุงดำ  พอเพาะในถุงได้ ประมาณ   เดือน ต้นกล้าจะมีความสูงประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร ก็จะมีการนำต้นกล้าลิงลาวไปปลูกในพื้นที่ไร่สวนได้ โดยต้นลิงลาวจะให้ผลผลิตได้หลังจากการปลูกประมาณ 5 – 7  ปี 
   2.4.3   การขยายพันธุ์โดยใช้เหง้าหรือหัว เป็นการแยกขยายจากต้นแม่ที่มีอายุค่อนข้างมาก กอมีขนาดใหญ่ จนเหง้าหรือหัวต้นลิงลาว โผล่พ้นดินขึ้นมา วิธีการคือ ชาวบ้านจะใช้วิธีการขุด นำเหง้ามาแยกและนำมาปลูกในพื้นที่หรือมาเพาะไว้ในกระบะทรายก่อน เมื่อปลูกแล้ว ใช้เวลา 1  ปี สามารถเก็บผลผลิตได้

                2.5 ประโยชน์ของต้นลิงลาวในระบบนิเวศ
                   ต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าและในพื้นที่ไร่สวนในพื้นที่สำรวจ นอกจากสามารถสร้างแหล่งอาหารให้ชุมชนและเป็นแหล่งรายได้เสริมแล้ว ยังมีประโยชน์ในเชิงระบบนิเวศอีกด้วย จากการสำรวจพบว่าต้นลิงลาวมีประโยชน์ในระบบนิเวศ  3 อย่าง 
    ประการแรก  เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ตามธรรมชาติ ดอกและผลต้นลิงลาวเป็นแหล่งอาหารที่ของสัตว์ป่าหลากหลายประเภท เช่น เก้ง หมูป่า เม่น ลิง กระรอก หนูป่า และนกหลายชนิด การที่มีต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าย่อมส่งผลดีต่อการมีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่าไปด้วย  
      ประการที่สอง ต้นลิงลาวช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผืนดิน  เนื่องจากต้นลิงลาวเป็นพืชที่ชอบอยู่ใต้ต้นไม้อื่น ๆ มีใบหนาและเขียวสดตลอดทั้งปี ในพื้นที่ป่าและไร่สวนที่ปลูกต้นลิงลาวพบว่าพื้นดินในพื้นที่ดังกล่าวจะมีความชุ่มชื้นมากกว่าพื้นที่ๆอื่น ๆ เนื่องจากแสงแดดไม่สามารถส่องถึงพื้นดินได้และใบต้นลิงลาวจะช่วยปกคลุมหน้าดินและรักษาอุณหภูมิให้เย็นคงที่ตลอดเวลา 

     ประการสุดท้าย ต้นลิงลาวช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน  รากของต้นลิงลาวสามารถยึดติดบริเวณหน้า ดินได้ค่อนข้างดี บริเวณเนินเขาในป่าหรือในพื้นที่สวนเมี่ยงที่ชาวบ้านนำต้นลิงลาวมาปลูก พบว่าโคนต้นลิงลาวช่วยชะลอการไหลเร็วและการชะล้างหน้าดินได้เป็นอย่างดี    ปัจจุบันมีชาวบ้านหลายรายได้ใช้ประโยชน์ในการปลูกเป็นแถวบริเวณที่ลาดชันในพื้นที่สวน เพื่อลดการชะล้างและพังทลายของหน้าดิน  
การปลูกยึดหน้าดินบริเวณริมสวน

     
การปลูกเป็นแนวป้องกันดินถล่มบริเวณพื้นที่ทำกิ







ประเพณีท้องถิ่น: ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น


ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น

                ชุมชนในท้องที่ภูมิภาคล้านนา มีความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเป็นเวลานานแล้ว และมีการสืบทอดจนกลายเป็นประเพณีและวิถีปฏิบัติอันเป็นแบบแผนที่ดีในการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับทรัพยากรธรรมชาติ ดังจะเห็นได้ในหลายชุมชน มีการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในเขตที่เชื่อว่ามีผีเจ้าที่สิงสถิตอยู่เพื่อปกปักรักษาชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุข  และในทุก ๆ ปีจะมีการทำพิธีกรรมเลี้ยงผีเจ้าที่เพื่อเป็นการสักการะ บูชาและบนบานศาลกล่าวให้มีความสุข  ในล้านนาโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกวงจะมีพิธีกรรมหนึ่ง ที่ชนพื้นเมืองยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี  อันได้แก่  ประเพณีเลี้ยงผีเสื้อบ้าน ผีเจ้าบ้าน และผีเจ้านาย ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมนี้ขึ้นในทุก วันแรม 9 ค่ำ เดือน9 (มิถุนายน) ของทุกปี และเรื่องเล่าจากชุมชนในวารสารลุ่มน้ำกวงฉบับนี้ จะเล่าถึงประเพณีหนึ่งที่ผู้เขียนได้เข้าร่วมกิจกรรม  และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก  ประเพณีนั้นก็คือ ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น 







                ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น เป็นประเพณีประจำปี ของชุมชนบ้านโป่งกุ่ม หมู่ที่ 4 ตำบลป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่า 120 ปีมาแล้ว โดยการจัดพิธีกรรมดังกล่าวจะกระทำใน วันแรม 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี จากความเชื่อที่ว่าในพื้นที่ดงเย็นมี เจ้าพ่อเต๋จ๊ะและเจ้าแม่นางเฟย ผู้เป็นธิดา ที่ชุมชนชาวไทลื้อนับถือสิงสถิตคอยปกปักรักษาพื้นที่ดงเย็นและพื้นที่หมู่บ้านอยู่ ดังนั้นในทุกปีชาวบ้านจะจัดพิธีกรรม เลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น เพื่อบนบานศาลกล่าวให้เจ้าพ่อและเจ้าแม่ช่วยคุ้มครองหมู่บ้านและสัตว์เลี้ยงให้อยู่อย่างสงบสุข   ในอดีตเมื่อใกล้จะถึงประเพณีการเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็น  ชาวบ้านจะนำควายที่เลี้ยงมาปล่อยกินหญ้าไว้ในพื้นที่ดงเย็น โดยมีการตั้งหลักไม้เสี่ยงทายไว้บริเวณหน้า หอเจ้าพ่อ ถ้าควายตัวไหนเอาสีข้างไปสีกับหลักเสี่ยงทายหรืออยู่วนเวียนบริเวณหลักเสี่ยงทาย ก็แปลว่า เจ้าพ่อได้เลือกควายตัวดังกล่าวเป็นเครื่องเซ่นสังเวยในปีนี้  โดยชาวบ้านจะมีการรวมเงินกันซื้อควายจากเจ้าของเพื่อใช้ทำพิธีกรรม แล้วนำควายมาฆ่าบริเวณหลักหน้าศาลเจ้าพ่อก่อนที่จะนำถวายต่อไป  ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็นได้มีการใช้ควายเป็นเครื่องเซ่นสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตามแบบแผนเดิมที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้ ต่อมาเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากในพื้นที่การใช้ควายไถนาเริ่มลดลง ชาวบ้านที่เลี้ยงควายก็น้อยลง ทำให้ควายในพื้นที่เริ่มหายากและมีราคาแพง  จึงได้เปลี่ยนมาเป็นการใช้ไก่และ หมูเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแทนสืบจนถึงปัจจุบัน  เมื่อใกล้ถึงวันแรม 9 ค่ำ เดือน 9 ในหมู่บ้านจะมีการป่าวประกาศ หรือบอกกล่าว ให้ชาวบ้านรับทราบ เมื่อใกล้ถึงวันจัดพิธีกรรม วัน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วันดา ก็จะมีการเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นใช้ในการเลี้ยงเจ้าพ่อบางส่วน ได้แก่  เครื่องประกอบขันตั้ง  เครื่องสังเวย เตรียมหมู  1 ตัว และไก่  8 ตัว ที่จะนำไปสังเวย ของหวาน ขันหมากขันพลู ผลไม้ ขันข้าวตอกดอกไม้ ให้พร้อมก่อนถึงวันงาน  
                วันแรม 9 ค่ำ เดือนเก้า ตอนเช้าตรู่  เจ้าจ้ำ หรือผู้ที่เป็นตัวแทนในการทำพิธีกรรมเลี้ยงเจ้าพ่อ ได้นำขันตั้ง  ขันหมากขันพลูและข้าวตอกดอกไม้บอกกล่าวบริเวณหอเจ้าพ่อดงเย็น ซึ่งในเวลานั้นชาวบ้านจะเริ่มทยอยกันมาสมทบในพื้นที่ เมื่อถึงเวลาประมาณ 8 โมงเช้าชาวบ้านจะช่วยกันทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ดงเย็นให้เกิดความสะอาดตา  ผู้อาวุโสบางส่วนได้นำไก่ต้ม 8 ตัวใส่ถาดเตรียมถวาย  จัดทำขันตั้งสำหรับบนบานศาลกล่าวเจ้าพ่อ กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ร่วมกันฆ่าหมูที่ถูกมัดกับหลักเสี่ยงทายแล้วนำไปชำแหละแต่ยังไม่แยกเครื่องใน ในบริเวณใกล้ ๆ จากนั้นเจ้าจ้ำ จุดธูปเทียนบอกกล่าวและถวายเครื่องเซ่นให้เจ้าพ่อ  แล้วนำหมูไปทำอาหารก่อนนำมาถวายอีกครั้งหนึ่ง เจ้าจ้ำ กล่าวถวายเครื่องสังเวย นำขันตั้งถวายเจ้าพ่อดงเย็นแล้วชาวบ้านร่วมกันนำอาหารที่ทำจากหมูและไก่ที่ใช้ในการสังเวยมาถวายอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเทียนมาจุดถวาย เพื่อเสี่ยงทาย เมื่อเทียนดับหมายถึงเจ้าพ่อทานเครื่องเซ่นอิ่มแล้ว ชาวบ้านก็จะนำเครื่องเซ่นและอาหารที่เตรียมมากินร่วมกันในงานจนถึงเที่ยง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านตนเอง  สำหรับผู้เขียนก็อิ่มแปล้ไปตามระเบียบ  ประเพณีเลี้ยงเจ้าพ่อดงเย็นบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ งมงาย ค่ำครึ หรือโบราณ แต่ในมุมมองของผู้เขียนแล้ว กลับเป็นกิจกรรมที่สร้างความสมัครสมานสามัคคีให้กับคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี


ที่มา: วารสารลุ่มน้ำกวง พ.ศ.2552
สถานที่: บ้านโป่งกุ่ม หมู่ที่ 4 ตำบลป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
ภาพ: Mr.Sawing

ภูมิปัญญาท้องถิ่น: การจ่อมแซ


     เปิดปฐมบทความ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ ผมคิดว่าในปัจจุบันใกล้ที่จะสูญหายและหาดูได้ยากแล้วนะครับ เลยนำเรื่องและรูปมาฝาก..... กันไห้ชม...

     การจ่อมแซ  คือ การตกปลาโดยไม่ใช้สายเบ็ดครับ  แต่ใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นเรียวยาว แบ่งปลายเป็น สามแฉก ปลายมัดด้วย หนอนไม้ไผ่(แถวบ้านผมเรียกรถด่วน) แล้วนำมา ล่อปลาบริเวณลำห้วยที่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ  ได้ปลาตัวเล็ก ๆ เป็นหลักครับ เช่น ปลาค้อ กุ้งห้วย ปลาแก้มช้ำ เป็นต้น แต่ได้เยอะ บางทีได้เป็นกระบุงเลยครับ ลองดูภาพกัน ..........


เอาหนอนไม้ไผ่(รถด่วน)มัดที่ปลายไม้


มัดเสร็จแล้ว


ลีลาท่วงท่าระหว่างจ่อม เท่ห์มั๊ย......


แป๊บเดียวเองนะครับ สัตว์ที่ได้
     

   การจ่อมแซ บางที่เรียกจ่อมแส้ เป็นภูมิปัญญาในการหาของป่าที่สืบทอดมานานมากแล้วครับ ปัจจุบันมีพบเห็นน้อยมาก  

ชื่อภูมิปัญญา: จ่อมแซ
สถานที่ที่พบ :  บ้านป๊อก หมู่ที่ 1 ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
บุคคลในภาพ : คุณลุงสมบูรณ์ สติขันติเลิศ
ถ่ายโดย : Mr.Sawing 


สุดท้ายครับ......หากินด้วยวัสดุแค่นี้จริง ๆ นะนี่...สุดยอดครับ 

ทักทายเพื่อน พี่น้อง ร่วมโลกทุกท่าน



   ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ บล๊อกความหลากหลายทางชีวภาพ ครับ เป็นบล๊อกที่จัดทำขึ้นโดยความชอบส่วนตัว เน้นการสร้างและแชร์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นอีกสื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ ถ้าเห็นควรปรับปรุงเพิ่มเติมบล๊อกอย่างไร ติดต่อ ให้คำชี้แนะได้นะครับผม 

    ปล.ขอความสุขสวัสดีมีแก่ทุกท่าน  ทุกคน เด้อ เหอๆๆๆๆๆ