นิเวศวิทยาต้นลิงลาว
By Sawing Khuntasa
ประวัติความเป็นมา
ต้นลิงลาวเป็นพืชป่าชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของชุมชนในแถบเทือกเขาผีปันน้ำ
พบมีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในพื้นที่สูงทางภาคเหนือ บริเวณเทือกเขาผีปันน้ำ
เขตติดต่อระหว่าง จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่
และลำปางพบว่าชุมชนมีการใช้ประโยชน์จากต้นลิงลาวโดยการนำดอกมาประกอบอาหารเป็นกิจวัตรมาไม่น้อยกว่า
120
ปี
จากการสืบค้นประวัติความเป็นมาของต้นลิงลาวไม่เป็นที่ปรากฏว่า ที่มาของชื่อ
“ลิงลาว” หรือ “นางลาว” มาจากที่ใด แต่ มีผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ตำบลเทพเสด็จ และพ่อหลวงถวิล
สักกะโต ผู้ใหญ่บ้านพงษ์ทอง หมู่ 5 ตำบลเทพเสด็จสันนิษฐานว่า
อาจจะมีที่มาจากดอกของต้นลิงลาว มีลักษณะคล้าย ๆ หางของลิงที่อยู่ในประเทศลาว และอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง
ก็คือการเรียกชื่อตามคำเรียกของชนเผ่าขมุ ที่อพยพมาจากเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว
เรียกชื่อและนำมาใช้ประโยชน์ในการรับประทานเป็นอาหาร จึงเรียกชื่อ “ดอกลิงลาว”
ตามกันมาจนถึงปัจจุบัน
จากการบอกเล่าของป้าบัวลอย ใจกล้า
บ้านพงษ์ทองและผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่
พบว่าต้นลิงลาวเป็นพืชป่า ที่พบได้โดยทั่วไปในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร
ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ดินปนหินหรือพื้นดินชื้น ๆ แต่ไม่ถึงกับแฉะ มักจะพบในบริเวณหน้าผาสูงและที่ลาดชัน ใกล้
ๆ ลำห้วย
โดยจะพบการกระจายพันธุ์เต็มพื้นที่ ซึ่งบางจุดอาจมีต้นลิงลาวมากกว่า 50 – 60 กอ เลยทีเดียว
ชาวบ้านตำบลเทพเสด็จมีการนำดอกลิงลาวมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารมาไม่ต่ำกว่า
120 ปีมาแล้ว ในอดีตเมื่อถึง เดือน พฤศจิกายน – มกราคม ของทุกปี ต้นลิงลาวป่าจะพร้อมใจกันออกดอกที่มีสีม่วงสวยงาม พร้อม
ๆ กัน ในช่วงนั้นชาวบ้านก็จะพากันเดินทางเข้าพื้นที่ป่าที่อยู่ใกล้ ๆ
บ้านเพื่อไปเก็บและนำดอกลิงลาวมาประกอบอาหารในครัวเรือน
เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่มีการซื้อขายดอกลิงลาวและพื้นที่ป่าก็มีดอกลิงลาวอยู่ใกล้บ้านจึงไม่พบว่ามีผู้ใดนำดอกลิงลาวมาปลูกในพื้นที่ทำกินของตนเองแต่อย่างใด
ต้นลิงลาวเป็นพืชป่าที่ดอกมีรสชาติเฉพาะตัว เมื่อนำมาประกอบอาหาร เช่น
เครื่องเคียงลาบ นำมาแกง
หรือลวกจิ้มน้ำพริก จะมีรสขมปนหวานนิด ๆ ทำให้รสชาติอาหารมีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านในพื้นที่
จึงมีผู้นิยมบริโภคเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ต่อมาประมาณ 30
ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการหาดอกลิงลาวในป่าเริ่มลำบาก
เนื่องจากพื้นที่ป่าเริ่มอยู่ใกลบ้านและมีผู้เข้าไปหาเพิ่มขึ้นทำให้หาลำบาก
ชาวบ้านจึงมีการนำต้นลิงลาวมาเพาะขยายพันธุ์ในพื้นที่บ้านเรือนและในพื้นที่ไร่สวนของตัวเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ และเมื่อ 7 – 8 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548
เป็นต้นมา ดอกลิงลาวเริ่มมีราคาค่างวดขึ้น บางปีสามารถจำหน่ายได้ถึง
กิโลกรัมละ 120 บาท
จึงมีการนำต้นลิงลาวจากพื้นที่ป่ามาเพาะปลูกในพื้นที่ไร่สวนเพิ่มมากขึ้น
ทำให้ต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าหายากมากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของทีมวิจัยและกลุ่มอนุรักษ์ดอกลิงลาวตำบลเทพเสด็จ ที่พบว่ามีต้นลิงลาวตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเหลืออยู่ในปริมาณที่ไม่มากนัก แต่จะพบมีการขยายพันธุ์มากในพื้นที่สวน เมี่ยง-
กาแฟ ของชุมชน
ลักษณะต้นลิงลาว
ตามธรรมชาติต้นลิงลาวจะมีการกระจายพันธุ์ในลักษณะเป็นกลุ่ม
ๆ ละ 10
– 30 กอ ในบริเวณพื้นที่ราบริมห้วย ชะง่อนผา
หน้าผาที่เป็นดินปนหินผุ และบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา
โดยอยู่รวมกันหนาแน่นในระยะห่างจากลำห้วยประมาณ 2 – 15 เมตร
ชอบขึ้นในพื้นที่ใต้ร่มไม้ยืนต้นมีแสงส่องรำไร พื้นที่มีความชื้นสูง
อุณหภูมิเย็นคงที่ตลอดปี ความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง ประมาณ 900 – 1,300 เมตร ใบอ่อนไหวต่อแสงมาก โดยต้นที่โดนแดดเต็มที่ใบจะแห้งและไหม้เกรียม
ลักษณะลำต้นไม่สมบูรณ์
ปัจจุบันพบต้นลิงลาวป่าที่อยู่ในช่วงโตเต็มที่ไม่มากนัก
จากการสำรวจตามเส้นทางต่าง ๆ ต้นลิงลาวที่เหลือ ยู่ตามธรรมชาติส่วนใหญ่ จะมีอายุอยู่ในช่วงประมาณ 1 – 3 ปี ซึ่งจะมีขนาดลำต้นไม่ใหญ่มากนัก ส่วนใหญ่งอกมาจากเหง้าหรือรากต้นแม่เดิม
ซึ่งเกิดจากการที่ชาวบ้านเข้าไปขุดต้นลิงลาวป่ามาปลูกในพื้นที่ไร่สวนของตัวเองนั่นเอง
ทีมวิจัยจึงทำการศึกษาและสำรวจนิเวศวิทยาต้นลิงลาวที่โตเต็มที่ในพื้นที่ทำกินของชาวบ้านควบคู่ไปด้วย
โดยต้นลิงลาวทั่วไปมีลักษณะดังนี้
ต้นลิงลาว มีลักษณะเป็นไม้พุ่มอายุหลายปี
โตเต็มที่ในช่วงอายุ 5 ปีขึ้นไป ลักษณะกอคล้ายต้นพลับพลึงแต่กอเล็กและใบเขียวสดกว่า ลำต้นลักษณะเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน
มีการแทงลำต้นออกเป็นหลาย ๆ ต้นในหนึ่งกอ
เมื่อโตเต็มที่กอหนึ่งจะมีลำต้นเฉลี่ยประมาณ 30 – 50 ต้น
และเหง้ามีการยกตัวโผล่พ้นดินเห็นได้ชัดเจน ความสูงของกอต้นลิงลาวเมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ
1.2 - 1.5 เมตร ทรงพุ่มกว้างประมาณ 2 – 2.5 เมตร
ใบ
มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรอบเหง้า รูปขอบขนาน
เมื่อโตเต็มที่ใบจะกว้างประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 100 – 120 เซนติเมตร
ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบรูปลิ่ม ขอบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา เส้นใบไม่ชัดเจน
ใบมีสีเขียวสดเป็นมันวาว
ดอก จะมีการออกดอกตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน – มกราคม ของทุกปี ดอกจะออกเป็นช่อ
ตามจำนวนต้นที่อยู่ในกอนั้น ๆ
แต่ละต้นในกอจะออกดอกไม่พร้อมกัน สลับกันออกดอกในแต่ละกอ ดอกออกเป็นช่อกระจะ ยาวประมาณ
15 – 40 เซนติเมตร ก้านดอกมี 3 ลักษณะ คือก้านสีเขียว ก้านสีขาวอมม่วง และก้านใบสีม่วงแก่ ดอกออกมี
3 ลักษณะ คือ
ดอกสีเขียวปนม่วง ดอกสีขาวอมม่วง
และดอกสีม่วงเข้ม
ขณะเมื่ออ่อนดอกเรียงกันเป็นกระจุกแน่น
แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น
ก้านดอกจะยืดยาวขึ้นทำให้ดอกอยู่ห่างกัน มีใบประดับสีขาว รูปยาวแคบ ปลายแหลม กลีบเลี้ยง 6 กลีบ ขนาดเล็กมาก สีขาว รูปไข่กว้าง กลีบดอก 6 กลีบเรียงซ้อนกัน ความยาวประมาณ
2 – 3 เซนติเมตร
เกสรตัวผู้มีก้านเกสรสีขาว ยาวประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร รังไข่สีขาว
อยู่เหนือวงกลีบดอก
ผล มีลักษณะกลม ผิวขรุขระ
เปลือกค่อนข้างหนา
ผลหนุ่มมีลักษณะเป็นสีเขียวจัดปนน้ำตาล ผลแก่ เป็นสีน้ำตาลออกม่วง ผลมีขนาดประมาณ 4 – 6 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 3 –
4 เมล็ด เมล็ดหนุ่มส่วนใหญ่มีสีขาวใส เมล็ดแก่จะมีสีขาวออกน้ำตาล
เนื้อแน่นแข็ง ขนาด 1-2 เซนติเมตร
2.3
สายพันธุ์ต้นลิงลาว
จากการนำตัวอย่างต้นและดอก ต้นลิงลาว
จำนวน 3 ตัวอย่าง
จากพื้นที่ไปตรวจสอบความแตกต่างด้านชนิดพันธุ์กับ ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชจาก
หอพรรณพืช มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าเพียง 1 สายพันธุ์
คือ นางลาว(Tupistra albiflora
K. Larsen)
จากคำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญ
ชนิดพันธุ์อาจจะมีก้านและดอกที่มีสีแตกต่างกันได้
จึงไม่ถือว่าเป็นคนละสายพันธุ์กัน
แต่อย่างไรก็ตาม จากการได้มีส่วนร่วมในการสังเกต สัมภาษณ์และเดินสำรวจของอาสาสมัครชุมชน พบว่า
มีความแตกต่างบางอย่างของต้นลิงลาวในแต่ละต้นที่อยู่ในป่าและไร่สวนของชุมชน
โดยตามภูมิปัญญาชุมชนพบว่า
แม่พันธุ์แต่ละต้นจะมีลักษณะการออกดอกที่เป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์ของตนเองชัดเจน
เมื่อมีการนำมาปลูกขยายพันธุ์ภายในพื้นที่ทำกิน
ไม่ส่งผลให้ต้นลูกที่เกิดจากเมล็ดและการแยกกอ เปลี่ยนสีไปจากต้นแม่แต่ประการใด จากการสรุปข้อมูลร่วมกัน
ชุมชนได้มีการแยกต้นลิงลาวในพื้นที่ออกเป็นออกเป็น 3 ชนิด
ดังนี้
2.3.1
พันธุ์ก้านสีเขียว
ลักษณะกอมีขนาดใหญ่
กอใหญ่สุดกว้างประมาณ 2 –
2.5 เมตร สูงสุด
ประมาณ 1.5 เมตร ใบยาวและกว้าง กว่าพันธุ์ก้านสีม่วง ใบยาวเรียว
ดอกและก้านมีขนาดใหญ่ แต่ขนาดเล็กกว่าพันธุ์ก้านสีขาวเล็กน้อย ก้านดอกมีสีเขียวยาว ดอกออกชิดกันค่อนข้างแน่น กลีบรองดอกครึ่งล่างมีสีเขียว
ด้านบนเป็นสีม่วงแต่สีอ่อนกว่าพันธุ์ก้านม่วงเล็กน้อย ในการจำหน่ายและบริโภค ดอกจะให้น้ำหนักค่อนข้างดี
รสชาติหวานนำปนขม ไม่มีรสเฝื่อน
ใบเล็กกว่าพันธุ์ก้านสีขาว เล็กน้อย
ชุมชนนิยมนำมาบริโภคและจำหน่าย
2.3.2 พันธุ์ก้านสีขาว ลักษณะกอมีขนาดใหญ่ กอใหญ่สุดกว้างประมาณ 2 – 2.5 เมตร สูงสุด ประมาณ 1.5
เมตร ใบยาวและกว้าง
กว่าพันธุ์ก้านสีม่วง
ดอกก้านดอกมีสีขาวปนม่วงเล็กน้อย ดอกและก้านมีขนาดใหญ่ ก้านดอกสั้นกว่าทุกชนิด
ดอกออกค่อนข้างห่างกัน กลีบรองดอกครึ่งล่างมีสีขาว
ด้านบนเป็นสีม่วง ข้อเสียดอกมักเปราะ และหักง่าย
ข้อดี ดอกให้น้ำหนักดี รสชาติ รสหวานปนขม ไม่เฝื่อน
เป็นที่นิยมนำมาบริโภค
2.3.3 พันธุ์ก้านสีม่วง ลักษณะกอเล็กกว่าพันธุ์อื่นเล็กน้อย
ใบลักษณะลีบเล็กกว่าชนิดพันธุ์ก้านเขียวและก้านขาว
ความกว้างส่วนมากประมาณ 5 – 9 เซนติเมตร
ก้านดอกมีลักษณะยาวค่อนค่างลีบและเล็กกว่าชนิดอื่น ๆ ก้านดอกมีสีม่วงปนขาวเล็กน้อยเห็นได้ชัดเจน
ดอกออกเป็นช่อห่างกัน ปลายมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกมีสีม่วงจัด
ก้านเหนียวไม่เปราะหักง่ายเหมือนพันธุ์ก้านสีขาว ด้านการจำหน่าย
พันธุ์ก้านสีม่วงให้น้ำหนักไม่ค่อยดี
รสชาติมีรสขมจัด
และเฝื่อนเล็กน้อย
ไม่เป็นที่นิยมนำมาขยายพันธุ์ในสวนและบริโภคภายในชุมชนเท่าใดนัก
ลักษณะดอกสีม่วง |
ลักษณะก้านดอกสีขาว |
ลักษณะก้านดอกสีเขียว |
2.4 การขยายพันธุ์ต้นลิงลาว
การเรียนรู้เรื่องการเพาะขยายพันธุ์ต้นลิงลาวเกิดขึ้นในเมื่อชาวบ้านต้องการที่จะนำต้นลิงลาวมาปลูกในพื้นที่ทำกินของตนเอง
และได้รับการพัฒนาวิธีการปลูกในรูปแบบการลองผิดลองถูกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
แต่เดิมการขยายพันธุ์ต้นลิงลาวนิยมการใช้วิธีการแยกลำต้นและนำมาปลูกในพื้นที่
จนต่อมาเมื่อประมาณ 7
ปีที่ผ่านมาได้มีการหาความรู้และวิธีการเพาะขยายพันธุ์ต้นลิงลาวด้วยวิธีต่าง
ๆ จนปัจจุบัน พบว่าในพื้นที่ตำบลเทพเสด็จมีวิธีการขยายพันธุ์ต้นลิงลาว 3 วิธี
ด้วยกันดังนี้
2.4.1
การขยายพันธุ์โดยแยกลำต้น
เป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวบ้าน การขยายพันธุ์
จะใช้ต้นลิงลาวที่มีอายุระหว่าง 5 – 7 ปี
เนื่องจากลำต้นอยู่รวมกันเป็นกอขนาดใหญ่และลำต้นเรียงกันอยู่แน่นขนัด
ถ้าไม่มีการแยกขยายหรือตัดแต่งจะทำให้ลำต้นลีบเล็ก
และผลผลิตดอกลิงลาวเริ่มน้อยลง
สำหรับลำต้นที่จะแยกปลูกจะต้องมีลักษณะเป็นลำต้นที่มีรากติดอยู่แต่อยู่บนเหง้า
วิธีการแยกขยายไม่จำเป็นต้องขุดทั้งต้น แต่ใช้เสียมหรือเลื่อย
มาเฉือนบริเวณลำต้นลิงลาวด้านบนเหง้า ให้มีรากติดอยู่กับลำต้นเล็กน้อย จากนั้นนำลำต้นมาปลูก
โดยขุดหลุมลึกประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร กว้างประมาณ 20
เซนติเมตร
โดยจะนำลำต้นลิงลาวปลูกหลุมละ 3 – 5 โดยต้นลิงลาวที่ปลูกแล้วจะสามารถให้ผลผลิตได้หลังจากปลูกประมาณ
1 – 2 ปี
2.4.2 การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด
เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่สามารถทำได้ทีละมาก ๆ แต่ให้ผลผลิตค่อนข้างช้ากว่าทุกวิธีการ
เนื่องจากต้นอ่อนต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 – 7 ปี ในการให้ผลผลิต
วิธีการเพาะชาวบ้านจะเก็บผลแก่ของต้นลิงลาว ที่อายุประมาณ 1 ปี โดยจะเก็บในช่วง
เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม เมื่อได้ผลแก่มาแล้วก็นำมาตากให้แห้งโดยวิธีการผึ่งลม
ชาวบ้านจะไม่นำผลลิงลาวมาตากแดดเนื่องจากจะทำให้เมล็ดได้รับความเสียหายและเพาะไม่ค่อยออก พอแห้งบ้างเล็กน้อยก็นำผลลิงลาวมีมาปอกเอาเมล็ดแก่ที่อยู่ในผลออกมา
โดย 1 ผลจะมีประมาณ 3-4 เมล็ด จากนั้นก็นำมาหว่านในกระบะทราย
นำแสลมมาคลุมเพื่อป้องกันมิให้ได้รับแสงมากเกินไป หรือจะเพาะใต้ร่มไม้ก็ได้
รดน้ำอาทิตย์ละ 3 – 5 ครั้ง
แต่ไม่ให้กระบะทรายแฉะจนเกินไปประมาณ 3 -
5 เดือน
ต้นกล้าก็จะงอกออกมามีลำต้นยาวประมาณ 5
– 10 เซนติเมตร ให้แยกต้นกล้ามาเพาะในถุงดำ พอเพาะในถุงได้ ประมาณ 8
เดือน ต้นกล้าจะมีความสูงประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร ก็จะมีการนำต้นกล้าลิงลาวไปปลูกในพื้นที่ไร่สวนได้
โดยต้นลิงลาวจะให้ผลผลิตได้หลังจากการปลูกประมาณ 5 – 7 ปี
2.4.3
การขยายพันธุ์โดยใช้เหง้าหรือหัว
เป็นการแยกขยายจากต้นแม่ที่มีอายุค่อนข้างมาก กอมีขนาดใหญ่
จนเหง้าหรือหัวต้นลิงลาว โผล่พ้นดินขึ้นมา วิธีการคือ ชาวบ้านจะใช้วิธีการขุด
นำเหง้ามาแยกและนำมาปลูกในพื้นที่หรือมาเพาะไว้ในกระบะทรายก่อน เมื่อปลูกแล้ว
ใช้เวลา 1 ปี
สามารถเก็บผลผลิตได้
2.5 ประโยชน์ของต้นลิงลาวในระบบนิเวศ
ต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าและในพื้นที่ไร่สวนในพื้นที่สำรวจ
นอกจากสามารถสร้างแหล่งอาหารให้ชุมชนและเป็นแหล่งรายได้เสริมแล้ว
ยังมีประโยชน์ในเชิงระบบนิเวศอีกด้วย
จากการสำรวจพบว่าต้นลิงลาวมีประโยชน์ในระบบนิเวศ
3
อย่าง
ประการแรก เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ตามธรรมชาติ
ดอกและผลต้นลิงลาวเป็นแหล่งอาหารที่ของสัตว์ป่าหลากหลายประเภท เช่น เก้ง หมูป่า
เม่น ลิง กระรอก หนูป่า และนกหลายชนิด
การที่มีต้นลิงลาวในพื้นที่ป่าย่อมส่งผลดีต่อการมีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่าไปด้วย
ประการที่สอง
ต้นลิงลาวช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผืนดิน
เนื่องจากต้นลิงลาวเป็นพืชที่ชอบอยู่ใต้ต้นไม้อื่น ๆ
มีใบหนาและเขียวสดตลอดทั้งปี
ในพื้นที่ป่าและไร่สวนที่ปลูกต้นลิงลาวพบว่าพื้นดินในพื้นที่ดังกล่าวจะมีความชุ่มชื้นมากกว่าพื้นที่ๆอื่น
ๆ เนื่องจากแสงแดดไม่สามารถส่องถึงพื้นดินได้และใบต้นลิงลาวจะช่วยปกคลุมหน้าดินและรักษาอุณหภูมิให้เย็นคงที่ตลอดเวลา
ประการสุดท้าย
ต้นลิงลาวช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
รากของต้นลิงลาวสามารถยึดติดบริเวณหน้า ดินได้ค่อนข้างดี
บริเวณเนินเขาในป่าหรือในพื้นที่สวนเมี่ยงที่ชาวบ้านนำต้นลิงลาวมาปลูก
พบว่าโคนต้นลิงลาวช่วยชะลอการไหลเร็วและการชะล้างหน้าดินได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันมีชาวบ้านหลายรายได้ใช้ประโยชน์ในการปลูกเป็นแถวบริเวณที่ลาดชันในพื้นที่สวน
เพื่อลดการชะล้างและพังทลายของหน้าดิน
การปลูกยึดหน้าดินบริเวณริมสวน |
การปลูกเป็นแนวป้องกันดินถล่มบริเวณพื้นที่ทำกิ |