ภูมิปัญญาการเลี้ยงผึ้งโก๋น(ผึ้งโพรงป่า) ตอนที่ 1
"ความรู้ทั่วไป"
"ความรู้ทั่วไป"
Mr.Sawing Khuntasa
เมื่อกล่าวถึง "น้ำผึ้ง" หลายคนคงจะรู้จักและรับรู้ถึงสรรพคุณที่หลากหลายเป็นอย่างดี ดังจะพิสูจน์ได้จาก มีตำรา สูตรอาหาร สมุนไพร และการบรรยายถึงสรรพคุณของน้ำผึ้ง ในทุกวัฒนธรรมของมนุษย์ทุกมุมโลก แต่หลายท่านคงยังสงสัยว่า แล้วน้ำผึ้งที่เราทานปัจจุบันเป็นน้ำผึ้งจากผึ้งชนิดใด เป็นน้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งเทียม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำผึ้งนั้นเป็นน้ำผึ้งแท้ๆ ก็มีหลากหลายทฤษฏี ให้มาพิสูจน์กัน ในสัปดาห์นี้ ผมจะเอาความรู้เกี่ยวกับผึ้งป่า มาฝากพี่น้องกันนะครับ เป็นบทความเก่าที่เขียนเผยแพร่หลายปีละ แต่ตอนนี้เอามาเผยแพร่ใหม่โดย บทความจะแบ่งเป็น ตอนๆ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจ โดย จะกล่าวถึงนิเวศวิทยาผึ้งและการตรวจสอบน้ำผึ้ง(โดยคร่าว ๆ)และภูมิปัญญาการเลี้ยงผึ้งโก๋น หรือ ผึ้งโพรงป่า ภูมิปัญญาที่ใกล้จะสูญหายไปจากชุมชน ซึ่งจะนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้นะครับ ...........
1. ชนิดของผึ้ง
ผึ้งเป็นแมลงสังคมชั้นสูงที่อยู่เป็นครอบครัวใหญ่หรือเป็นกลุ่มสมาชิกภายในรังสังคมผึ้งเป็นสังคมแบบสมบูรณ์ที่สมาชิกทุกเพศทุกวรรณะในสังคมมีความสำคัญและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป สำหรับผึ้งที่มีในประเทศไทยปัจจุบันในสกุลเอพิส (Apis) มีอยู่ 4
ชนิด คือ
1.
ผึ้งมิ้ม (Apis florea)
มีขนาดของตัวผึ้งและรังเล็กที่สุด เปรียบกับผึ้งทั้ง 4
ชนิด
เส้นผ่าศูนย์กลางของรังประมาณ 20 เซนติเมตร
ผึ้งมิ้มชอบสร้างรังบนต้นไม้และซุ้มไม้ที่ไม่สูงจนเกินไปนัก
ลักษณะรังเป็นรวงรังชั้นเดียวมักจะมีที่ปกปิดด้วยซุ้มใบไม้และกิ่งไม้ เพื่อป้องกันศรัตรูพบเห็น
2. ผึ้งหลวง (Apis
dorsata) มีขนาดของตัวผึ้งและรังใหญ่ที่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางของรังประมาณ 0.5 – 1 เมตร
ผึ้งหลวงมักจะสร้างรังบนต้นไม้สูง ๆ
หรือภายนอกของอาคารบ้านเรือนลักษณะรวงรังมีชั้นเดียวเป็นรูปครึ่งวงกลมไม่มีที่ปกปิด มีพฤติกรรมดุกว่าผึ้งทุกชนิด
3.
ผึ้งโพรง (Apis cerana)
มีขนาดตัวผึ้งใหญ่กว่าผึ้งมิ้มแต่เล็กกว่าผึ้งหลวง
โดยสร้างรังในโพรงไม้ในอาคารบ้านเรือนที่มิดชิดและมืด เช่น
ภายใต้หลังคา ลักษณะมีรวงรังหลาย ๆ
ชั้น เรียงขนานกัน ขนาดรวงรังมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30
เซนติเมตร
สามารถนำมาเลี้ยงในหีบได้เช่นเดียวกับผึ้งพันธุ์
4.
ผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera)
มีขนาดตัวผึ้งใหญ่กว่าผึ้งโพรงแต่เล็กกว่าผึ้งหลวง เป็นผึ้งที่นำมาเลี้ยงจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงมีผู้นิยมเรียกว่า ผึ้งฝรั่งบ้าง
ผึ้งอิตาเลียนบ้าง
ผึ้งหลวง
ผึ้งโพรงป่า
ผึ้งมิ้ม
2. ชีวิตในสังคมของผึ้ง
ผึ้งเป็นสัตว์สังคมชั้นสูงจะอยู่เป็นครอบครัวใหญ่หรือเป็นกลุ่มสมาชิกภายในรัง แต่ละรังเป็นหนึ่งครอบครัว จะประกอบด้วย
3 วรรณะ คือ
ผึ้งนางพญา(queen) ผึ้งงาน (worker) และผึ้งตัวผู้ (drone) ภายในรังจะมีผึ้งแม่รังหนึ่งตัว ผึ้งตัวผู้หลายร้อยตัว และผึ้งงานเป็นหมื่นๆ ตัว
2.1 วรรณะผึ้ง
ผึ้งนางพญา เป็นผึ้งเพศเมียที่ทำหน้าที่วางไข่ในรังผึ้ง จึงเรียกว่าผึ้งแม่รัง
ขนาดลำตัวโตกว่าและปล้องท้องยาวกว่าผึ้งงาน ความยาวของปีกคลุมส่วนท้องได้ประมาณกึ่งหนึ่ง มีหน้าที่ผสมพันธุ์ วางไข่และควบคุมสังคมผึ้ง
ด้วยการปล่อยสารเคมีแล้วปล่อยออกไปทั่วบรรยากาศภายในรังผึ้ง ไข่ที่ผึ้งแม่รังวางจะพัฒนาเป็นผึ้งวรรณะต่าง ๆ
ขึ้นอยู่กับไข่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้หรือไม่ ไข่ที่ผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้ ไข่จะฟักและพัฒนาเป็นผึ้งเพศเมียที่เป็นผึ้งแม่รังหรือผึ้งงาน
ไข่ที่ไม่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้ ไข่จะฟักและพัฒนาเป็นผึ้งตัวผู้
ผึ้งงาน เป็นผึ้งเพศเมีย มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาผึ้งทั้ง 3
วรรณะ
มีอวัยวะที่แตกต่างไปจากผึ้งวรรณะอื่น ๆ
เช่น
มีอวัยวะที่ขาหลังดัดแปลงใหญ่ขึ้นสำหรับเก็บเกสร
มีอวัยวะทางเดินอาหารส่วนหน้าขยายเป็นถุงเรียกว่า กระเพาะเก็บน้ำผึ้ง (honey sac) มีต่อมสร้างไขผึ้ง (wax
glands) เพื่อสร้างและซ่อมแซมรวงรัง
แม้ผึ้งงานจะเป็นผึ้งเพศเมียเหมือนผึ้งนางพญา แต่ไม่สามารถสร้างไข่ได้ เนื่องจากรังไข่เล็กยกเว้นในกรณีที่รังนั้นไม่มีนางพญาหรือแม่รังหายไป รังไข่ของผึ้งงานจะขยายและวางไข่ได้
แต่ไข่ที่วางจะฟักเป็นตัวหนอนและเจริญเป็นผึ้งตัวผู้ การทำงานของผึ้งงานขึ้นอยู่กับอายุและความจำเป็นของสังคม หลังจากออกจากดักแด้ก็จะทำงานในรัง เริ่มแรกจะทำหน้าที่ทำความสะอาดรัง ซ่อมแซมรวง
ป้อนอาหารให้ผึ้งแม่รังตัวผู้และตัวอ่อนผึ้ง ถ่ายทอดสารเคมีที่ได้รับจากผึ้งแม่รังให้กระจายไปทั่วรัง ควบคุมอุณหภูมิภายในรัง ฯลฯ และเมื่ออายุได้ 22 – 23 วัน จะทำงานนอกรังทำหน้าที่หาอาหาร จนกระทั่งตาย
ผึ้งตัวผู้ มีขนาดใหญ่กว่าและอ้วน ลำตัวกว้างกว่าผึ้งนางพญาและผึ้งงาน
มีตารวมที่ใหญ่และหนวดที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ
เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและรับกลิ่น ซึ่งลักษณะเฉพาะนี้มีเพื่อการผสมพันธุ์กับผึ้งนางพญาในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ปลายท้องมนไม่มีเหล็กในสำหรับป้องกันตัว มีลิ้นสั้นสำหรับรับอาหารจากผึ้งงานและจากหลอดรวมเก็บน้ำผึ้งในรัง
ไม่ออกไปเก็บอาหารจากดอกไม้ ไม่มีถุงเก็บเกสร ไม่มีต่อมสร้างขี้ผึ้ง หรือต่อมสร้างกลิ่น ทั้งนี้เพราะมันไม่มีหน้าที่ทำงานในรัง
นอกจากบินออกไปหาผึ้งนางพญาและทำการผสมพันธุ์ภายนอกรัง อายุของผึ้งตัวผู้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผึ้งงาน
กล่าวคือเมื่อผึ้งตัวผู้หมดความจำเป็นต่อรังมันก็จะถูกกำจัดไป โดยผึ้งงานหยุดป้อนอาหารและคาบออกมานอกรัง ผึ้งตัวผู้จะอดตายในที่สุด
2.2 การหาน้ำหวานและเกสร
การหาน้ำหวานและเกสรจะเป็นหน้าที่ของผึ้งงาน โดยถ้าผึ้งงานเริ่มเก็บน้ำหวานและเกสรจากพืชชนิดใดจะมีการทำงานอย่างน้อย 3 หรือ 4 วัน และอาจหาจากดอกไม้ชนิดนั้นอย่างเดียวไปถึง 20
วัน
จนดอกไม้นั้นโรยหมดไป
ถ้าพืชนั้นสร้างน้ำหวานและให้เกสรในช่วงเวลาเฉพาะของวัน ผึ้งจะปรับปรุงช่วงการทำงานให้เข้ากับดอกไม้บาน บางครั้งพบว่าช่วงตอนเช้าพืชบางชนิดบานให้เกสรมาก ผึ้งงานจะขนเกสรเข้าถึง 60 – 70 % ของผึ้งที่กลับรัง
จะมีเกสรกลับมาเต็ม
และเข้าไปบรรจุในหลอดเซลล์ที่ใช้เก็บเกสร
และตอนบ่ายจะเปลี่ยนเป็นเก็บน้ำหวานจากดอกไม้อีกชนิดหนึ่ง เช่น การเก็บเกสรจากไมยราพเถาในตอนเช้าและเก็บน้ำหวานจากดอกสาบเสือในตอนบ่าย
(จากการสังเกตพฤติกรรมผึ้งที่สถานีวิจัยผึ้งพรหมพร จังหวัดตราด)
ในการบิน
ผึ้งใช้ความเร็วเฉลี่ย 24 กม./ชม. ในระหว่างบินออกหากินจะมีความเร็วประมาณ 20 – 29 กม./ชม.
โดยมากจะออกไปหาระหว่าง 1
– 3 กม. จากรัง แต่ก็อาจไปไกลถึง 12 กม. การออกบินใช้เวลาตั้งแต่ 6
นาที ถึง 3 ชั่วโมงและจะตอมดอกไม้ชนิดเดียวกันครั้งละ 8 – 10
ดอก
เก็บเกสรประมาณ 12 –
29 มก. กลับรังและออกไป 6 – 47
ครั้ง/วัน
ปกติผึ้งที่ออกไปหาน้ำหวานและเกสรจะนำเกสรกลับมาประมาณ 25
% และ 58 – 60 % จะเอาเฉพาะน้ำหวานกลับ อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ด้วยว่ามีน้ำหวานหรือเกสรมาก
บางครั้งดอกไม้บานมีแต่น้ำหวานจะทำให้ผึ้งขาดเกสรได้เช่นกัน
ผึ้งงานที่ออกหากินอาจทิ้งกลิ่นเฟอโรโมน (2 – heptanone) เมื่อไปตอมดอกไม้
เพราะผึ้งตัวอื่นจะไม่ไปตอมดอกที่ถูกเก็บน้ำหวานไปหมดแล้ว ปริมาณน้ำหวานที่เก็บประมาณ 25 – 70 มก./ตัว/เที่ยว
เฉลี่ย 40 มก. ในวันที่ร้อนและความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ผึ้งจะเก็บมากขึ้น เวลากลับรัง
ผึ้งจะแจกจ่ายน้ำหวานที่หามาได้กับผึ้งเฝ้ารัง
โดยการสัมผัสด้วยหนวดและขาหน้าผึ้งประจำรังจะรับด้วยงวง (proboscis) จึงเป็นการส่งให้โดยไม่มีน้ำหวานหยดลงบนพื้นเลยแล้วผึ้งหาอาหารก็จะทำความสะอาดงวงด้วยขาหน้า
ทำความสะอาดปากหนวดด้วยรอยบากที่ขาหน้าก่อนจะบินออกหากินต่อไป ทันทีที่ผึ้งประจำรังรับน้ำหวานแล้ว
มันจะเคลื่อนที่ไปยังที่ที่มีเซลล์ว่างเพื่อเก็บไว้ในเซลล์น้ำผึ้ง
2.3 การหาน้ำและโพรโพลิส
ผึ้งงานจะหาน้ำซึ่งมีความจำเป็นมากในฤดูร้อนเพื่อทำให้ภายในรังเย็น
ผึ้งจะไม่เก็บน้ำไว้ในรังจะมีน้ำเพียงในกระเพาะเก็บน้ำหวานของผึ้งงานเท่านั้น แล้วแจกจ่ายให้แก่ตัวอื่นเมื่อมาถึงรังเพื่อจะป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนร้อนและขาดน้ำ มันจะหยดน้ำลงในเซลล์เล็กน้อยหรือหยดลงบนฝาปิดเซลล์ตัวหนอน
ถ้ารังผึ้งตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ปศุสัตว์และเล้าหมู และไม่มีแหล่งน้ำสะอาดใกล้ ๆ ผึ้งอาจจะบินไปหาน้ำสกปรกจากบริเวณที่เลี้ยงสัตว์และนำกลับมารังได้
ผึ้งงานบางตัวจะเก็บโพรโพลิสโดยเฉพาะในฤดูร้อน โพรโพลิสเป็นยางไม้จากพืช ที่ผึ้งงานจะกัดเอาด้วยกรามและใช้ขาคู่แรกเขี่ยลงไปเก็บที่ถุงเก็บเกสร ใช้เวลา
15 – 60 นาที
พอถึงรังมันจะส่งให้ตัวอื่นเอาไปเคี้ยวอาจปนไขผึ้งลงไปเล็กน้อย แล้วนำไปที่ที่มันต้องการใช้ จำนวนผึ้งที่ออกหาโพรโพลิสมีน้อย จะใช้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น จากการสังเกตของสถาบันผึ้งในประเทศจีนรายงานว่าไม่พบมีผึ้งโพรงเก็บโพรโพลิสเหมือนผึ้งพันธุ์
2.4 การรักษาอุณหภูมิ
การรักษาอุณหภูมิภายในรังผึ้งนั้นสำคัญมาก
เพราะผึ้งเป็นแมลงประเภทสัตว์เลือดเย็น
ร่างกายไม่สามารถปรับอุณหภูมิภายในได้รวดเร็วเหมือนสัตว์เลือดอุ่น ดังนั้นวิธีปรับอุณหภูมิภายในรังจึงเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของผึ้งงานที่ไม่พบในแมลงทั่วไป
บริเวณรวงตัวอ่อนมีอุณหภูมิพอเหมาะระหว่าง
33 – 35 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิภายในรัง 29
องศาเซลเซียส
ในฤดูร้อนผึ้งจะกระจายตัวกันอยู่และจะมีการทำให้เย็นได้โดยกระพือปีกพัดน้ำที่หามาให้ระเหยเหมือนระบบพัดลมปรับอากาศ
ในฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส
ผึ้งจะเกาะกลุ่มกันแน่นภายในรังเพื่อเพิ่มความร้อนขึ้น และผึ้งจะแข็งตายเมื่ออุณหภูมิลงลงถึง 1.9
องศาเซลเซียส
2.5 การป้องกันรัง
พฤติกรรมป้องกันรังของผึ้งเป็นพฤติกรรมของแมลงสังคมที่น่าสนใจมาก ผึ้งแต่ละรังจะมีความดุมากน้อยไม่เท่ากัน ทั้งนี้เกิดจากปัจจัย อยู่ 2
ประการ คือ
1.
พฤติกรรมที่สืบทอดทางพันธุกรรม
2. สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น
อุณหภูมิและแสงแดด เป็นต้น พบว่าความก้าวร้าวของผึ้งจะน้อยมาก เมื่ออุณหภูมิพอเหมาะ ท้องฟ้าแจ่มใสมีแดดจัดในตอนกลางวัน
เพราะผึ้งงานจะใช้เวลาทั้งหมดกับการหาอาหารไม่สนใจในเรื่องอื่น ๆ แต่เมื่อท้องฟ้า ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหรือมีฝนตกพรำ ๆ
อุณหภูมิต่ำผึ้งงานที่เฝ้าอยู่หน้ารังจะดุมาก ถ้ามีสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ
อยู่หน้ารัง ผึ้งงานจะบินเข้าไปต่อยทันที
ผึ้งงานสามารถป้องกันตัวและรังของมันได้โดยอาศัยเหล็กในที่ยาว 1.5 มม. (1/6 นิ้ว) ซึ่งสามารถต่อยทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บและถึงตายได้ในพวกสัตว์ศัตรูขนาดเล็ก
รังผึ้งจะมีการป้องกันมากในฤดูการเก็บน้ำผึ้ง เนื่องจากมีปริมาณน้ำหวานในดอกไม้มาก ผึ้งจะเก็บสะสมน้ำผึ้งไว้มากถ้าประชากรภายในรังมีมาก ผึ้งมีเฟอโรโมนเตือนภัย (alarm
phoromone) ซึ่งมีบทบาทมากในพฤติกรรมป้องกันรัง
เฟอโรโมนจะถูกปล่อยออกมาเมื่อผึ้งงานปล่อยเหล็กใน
ทำให้ผึ้งตัวอื่นที่ได้กลิ่นเข้าโจมตีศัตรูเพิ่มขึ้นทันที เมื่อเหล็กในแทงเข้าไปในผิวหนัง น้ำพิษจะเข้าสู่บาดแผล ทำให้เกิดความเจ็บปวด
จะเจ็บมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณและความลึกที่น้ำพิษเข้าไป แต่ละบุคคลจะมีสรีรวิทยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อพิษของผึ้งไม่เท่ากัน พบว่าถ้าผึ้งต่อยบริเวณส่วนตา จมูก
และริมฝีปากจะปวดมากกว่าบริเวณอื่น
3. วงจรชีวิตสังคมผึ้ง
สังคมผึ้งเป็นสังคมที่มีการดำเนินกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา โดยสมาชิกผึ้งในรังทุกตัวต่างมีหน้าที่ตามวรรณะและวัยต่างกัน ร่วมกันดำเนินภารกิจของรังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นวงจรชีวิตของสังคมผึ้ง
มีดังต่อไปนี้
3.1 การแยกรัง
เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่ผึ้งจะสร้างรังใหม่
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแยกรังมีหลายสาเหตุ พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
-
จำนวนประชากรที่มากเกินไป
-
ความแออัดของรังตัวอ่อน
หมายถึง ปริมาณเซลล์ตัวอ่อนหรือจำนวนผึ้งบนรวงตัวอ่อน
-
อุณหภูมิภายในรังมีแนวโน้มสูงขึ้น
-
ขาดที่ว่างสำหรับเก็บอาหาร คือน้ำผึ้งและเกสร
-
การมีผึ้งตัวผู้ในปริมาณมากๆ
-
ผึ้งนางพญาอายุมากเกินไป และเริ่มสร้างหลอดนางพญาใหม่ (ควีนเซลล์)
-
ความอดอยาก หรือขาดอาหารที่สัมพันธ์กับความต้องการของรัง
ผึ้งนางพญาที่แก่แล้วมีโอกาสที่จะแยกรังมากกว่าผึ้งที่มีอายุน้อย สัญญาณการแยกรังจะมีอย่างน้อย 7
– 10 วันก่อนแยกรัง
โดยเริ่มแรกผึ้งงานจะสร้างควีนเซลล์ด้านล่างของรวงตัวอ่อน มีปริมาณผึ้งตัวผู้มากขึ้น
เมื่อถึงฤดูแยกรังผึ้งนางพญาจะเพิ่มอัตราการวางไข่ เพื่อเพิ่มประชากรให้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อวางไข่เพิ่มจึงมีการให้อาหารผึ้งนางพญาเพิ่ม ดังนั้นจะมีผึ้งประจำรังเพิ่มขึ้นด้วย มีการหาอาหารมากขึ้น
รวบรวมน้ำหวานและเกสรเกือบทุกเซลล์จะเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง เกสร
หรือตัวอ่อน
เมื่อมีประชากรหนาแน่นขึ้นถึงจุดหนึ่งจนไม่มีเซลล์ว่างให้นางพญาวางไข่ ผึ้งงานก็จะลดอาหารของผึ้งนางพญาลง ท้องของผึ้งนางพญาจะเริ่มหดลง ช่วงนั้นเองพวกตัวอ่อนที่ถูกปิดเซลล์จะไม่ต้องการอาหารเพิ่มอีก
ดังนั้นจะมีผึ้งงานอายุน้อยจำนวนมากมายที่เกิดขึ้นไม่ต้องเลี้ยงตัวอ่อนจึงไม่มีงานทำ สภาพเหล่านี้จะเป็นสัญญาณให้มันหารังใหม่
ก่อนแยกรังผึ้งงานที่จะบินแยกไปจะเก็บน้ำผึ้งไว้เต็มกระเพาะเก็บน้ำหวาน ในวันที่อบอุ่นที่แสงแดดตามปกติ ระหว่าง
10 โมงเช้าและบ่าย
2 โมง ผึ้งจำนวนมากก็จะรีบออกจากรัง ในขณะที่ผึ้งนางพญามีน้ำหนักลดลงประมาณ 30
% มันจะบินตามไปได้แต่ไม่ได้เป็นตัวนำ
แต่จะถูกห้อมล้อมด้วยผึ้งงานซึ่งเป็นตัวนำบินไป ผึ้งงานที่แยกไปส่วนใหญ่อายุ 4 – 23
วัน ผึ้งงานบางตัวจะหยุดและปล่อยกลิ่นนำทาง หรือนาซานอฟเฟอโรโมน ทำให้ตัวอื่น ๆ
บินตามกันไปในทิศทางเดียวกันรวมเป็นฝูงได้
ถ้าผึ้งนางพญาไม่ตามไปหรือหายไปกลุ่มผึ้งก็จะกลับไปรังเดิม
3.2 การสร้างผึ้งนางพญาใหม่
ผึ้งนางพญาและผึ้งงานจะเตรียมสร้างผึ้งนางพญาใหม่ ใน 3 กรณี คือ 1) ทดแทนผึ้งนางพญาที่หายไปโดยอุบัติเหตุ 2) แทนที่ผึ้งนางพญาเก่าที่มีอายุมากแต่ยังครองรังอยู่ และ 3) ต้องการแยกรังใหม่ เมื่อผึ้งรังเดิมอุดมสมบูรณ์มาก หรือเมื่อถึงฤดูแยกรัง (swarm)
ในแต่ละกรณีการสร้างผึ้งนางพญาจะเริ่มเมื่อผึ้งงานได้รับสารเฟอโรโมนจากผึ้งนางพญาน้อยลง
ในกรณีแรกที่ผึ้งนางพญาหายไปผึ้งงานจะสร้างหลอดนางพญาหรือควีนเซลล์ที่เตรียมจากเซลล์ผึ้งงานที่มีตัวอ่อนผึ้งเพศเมียซึ่งเพิ่มออกจากไข่แล้วให้อาหารรอยัลเจลลี่เพิ่มขึ้น ถ้าไม่มีตัวหนอนลักษณะดังกล่าว ตัวอ่อนที่ผึ้งงานเลือกมักอายุน้อยกว่า 2
วัน แต่อาจถึง 3
วันถ้ามีตัวอ่อนน้อย
ดังนั้นถ้าเห็นหลอดนางพญาเกิดขึ้นกลางแผ่นรวงรังแสดงว่าผึ้งนางพญาตัวเดิมได้หายไปแล้ว
ในกรณีที่ 2 และ 3
ผึ้งงานจะสร้างเซลล์ของผึ้งนางพญาในลักษณะห้อยหัวลง อยู่ด้านล่างของรวงรัง ดังนั้นตัวอ่อนจะเจริญห้อยหัวลง ผึ้งงานจะเลี้ยงตัวอ่อน นางพญาผึ้งด้วยรอยัลเยลลี่ มากกว่า
3 วัน คือให้กินตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโต ต่อมาเซลล์จะถูกปิดประมาณวันที่ 9
นับจากวางไข่
จากนั้นตัวอ่อนผึ้งนางพญาจะปั่นไหมหุ้มตัวในระยะดักแด้
การกินรอยัลเจลลี่ทำให้มันโตเร็วกว่าผึ้งวรรณะอื่น ๆ และออกจากเซลล์ได้ในเวลา 15 – 16 วัน หลังวางไข่
เมื่อเจริญสมบูรณ์จนลอกคราบสุดท้ายแล้ว
ฝาปิดเซลล์จะถูกกัดโดยรอบ แล้วจึงใช้หัวดันเซลล์เปิดออก ต่อจากนั้นผึ้งนางพญาตัวเต็มวัยจะคลานออกมา
ผึ้งนางพญาที่ออกจากเซลล์จะมีพลังงานและความว่องไวมากกว่าผึ้งงานและผึ้งตัวผู้
หลังจากออกมามันจะกินน้ำผึ้งบ้างเล็กน้อยโดยที่ยังไม่มีผึ้งงานมาสนใจด้วยเลย มันจะเลี้ยงตัวเองยังไม่มีการเข้าสังคม และจะเริ่มเดินตรวจหาทำลายตัวอ่อนในควีนเซลล์อื่น
ๆ ถ้าหากพบคู่แข่ง คือ
ผึ้งนางพญาสาว ๆ ด้วยกัน
จะเกิดการต่อสู้และฆ่ากันจนกระทั่งเหลือเพียงตัวเดียวที่แข็งแรงที่สุด
ระยะนี้ผึ้งนางพญาตัวใหม่จะได้รับความสนใจจากผึ้งงานมากขึ้นโดยเข้ามาป้อนอาหาร หลังจากนั้น
2 วันผึ้งนางพญาจะเริ่มออกบิน เพื่อสังเกตตำแหน่งของรังก่อนและจะบินบ่อยขึ้นในวันที่ 3
ในวันที่ 5 ถ้าอากาศยังสงบและแจ่มใส มันจะออกบินไปผสมพันธุ์กับตัวผู้หลายตัว
( 10 – 17 ตัว)จนได้รับสเปอร์มเพียงพอแล้วจึงจะบินกลับรัง
3.3 จำนวนผึ้งในรัง
จำนวนผึ้งภายในรังเป็นไปตามสถานะของรังผึ้ง ว่าในช่วงใดต้องการผึ้งในวรรณะใด
เพื่อการดำเนินกิจกรรมของสังคมผึ้งให้อยู่รอดและขยายพันธุ์ต่อไปได้ ซึ่งผึ้งงานจะเป็นตัวกำหนดในเบื้องต้น
ด้วยการสร้างรวงรังเพื่อให้ผึ้งแม่รังวางไข่และเก็บสะสมอาหาร ก่อนที่ผึ้งแม่รังจะวางไข่ ผึ้งแม่รังจะมุดเข้าไปสำรวจภายในหลอดรวงก่อน โดยจะใช้ขาคู่หน้ากางออกวัดขนาดของหลอดรวง
หลังจากนั้นจะหันกลับและหย่อนปล้องท้องลงไปวางไข่ที่ก้นหลอดรวง ๆ ละ 1 ฟอง
การที่ผึ้งแม่รังใช้ขาคู่หน้ากางออกวัดความกว้างของหลอดรวงนั้น เป็นการบ่งถึงชนิดของไข่ที่ถูกปล่อยออกมา ถ้าหลอดแคบหรือกว้างกว่าหลอดผึ้งตัวผู้
ผึ้งแม่รังก็จะปล่อยไข่ที่ได้รับการปฎิสนธิจากน้ำเชื้อตัวผู้ ที่จะบ่งเพศว่าเป็นผึ้งเพศเมียที่จะเจริญเป็นผึ้งงานและผึ้งแม่รัง ถ้าหลอดเป็นหลอดผึ้งตัวผู้
ผึ้งแม่รังก็จะวางไข่ที่ไม่ได้รับการผสมกับเชื้อตัวผู้ ที่จะเจริญเป็นผึ้งตัวผู้
วรรณะและจำนวนประชากรผึ้งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามที่กำหนดไว้
3.4 อาหารผึ้ง
เกสรและน้ำหวาน เป็นแหล่งอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาเป็นตัวเต็มวัย ผึ้งเก็บอาหารเหล่านี้ได้จากพืชอาหารผึ้งซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับผึ้ง
ยังไม่มีแหล่งใดที่ให้ธาตุอาหารดีที่สุดเท่าที่ผึ้งเก็บได้จากพืชอาหารผึ้ง
เกสรประกอบด้วย โปรตีน 6 – 28 % ไขมัน 1 – 2
% ปกติมีน้อยกว่า 5
% คลอเรสเตอรอลน้อยกว่า 0.5 % เกสรเป็นแหล่งโปรตีนของผึ้ง ในขบวนการเมตาบริซึมที่ผึ้งไม่สามารถสังเคราะห์
cholesterol ได้ถ้าไม่มีสารต้นกำเนิดที่อยู่ในเกสรพืช เกสรประกอบด้วยแป้ง น้ำตาล วิตามิน และเกลือแร่
ทั้งหมดสำคัญต่อผึ้ง เกสรจะถูกขนย้ายโดยผึ้งงานวัยหาอาหาร
เกสรที่ผึ้งเก็บมาใส่ในหลอดรวงจะถูกเติมด้วยกรดและน้ำผึ้งและถูกยัดเข้าสู่หลอดรวง
เพื่อป้องกันการงอกของเกสรและการเสื่อมสภาพของเกสรจากการกระทำของแบคทีเรีย และอาจมีเอนไซม์ที่เติมโดยผึ้งหรืออาจจะมาจากการกระทำของแบคทีเรียที่มีประโยชน์จากขบวนการหมักเกสร
เมื่อเกสรผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์ในการเก็บ เรียกเกสรนี้ว่า bee
bread ซึ่งผึ้งพร้อมที่จะกินและย่อยเกสรนี้ จะได้ธาตุอาหารที่ผึ้งต้องการ
สำหรับปริมาณเกสรสำหรับเลี้ยงตัวอ่อนผึ้งงานจนเป็นตัวเต็มวัย ใช้เกสรประมาณ 125 – 145 มก. มีโปรตีนประมาณ 30
มก. ความต้องการเกสรในรอบปีของรังหนึ่ง ๆ
มีประมาณ 15 – 50 กิโลกรัม
4. น้ำผึ้ง (Honey)
น้ำผึ้ง เป็นผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้
และจากแหล่งน้ำหวานอื่น
ๆที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้และผ่านขั้นตอนทางเคมีและกายภาพโดยเกิดจากการแปรรูปน้ำหวานด้วยน้ำย่อยอินเวอร์เทส ในปากและกระเพาะเก็บน้ำผึ้งของผึ้ง
ทำให้เกิดการย่อยน้ำตาลซูโครสและฟรุคโตสมาเป็นน้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง มีลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหวานจากดอกไม้ที่ผึ้งเก็บมาทำเป็นน้ำผึ้ง น้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติจะมีรสหวานจัด กลิ่นหอม
มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้ม
แล้วแต่แหล่งที่ได้มา
ลักษณะน้ำผึ้งที่ดีควรมีลักษณะข้นและหนืดซึ่งแสดงว่ามีน้ำน้อย
มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งและดอกไม้ตามแหล่งที่ได้มา
สะอาดปราศจากกากไม่มีไขผึ้งหรือขี้ผึ้งปนไม่ว่าน้ำผึ้งนั้นจะมีสีเข้มหรือสีอ่อน มีสีใสไม่ขุ่นทึบ ที่ผิวของน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ในภาชนะปราศจากฟองอากาศและต้องไม่มีซากวัสดุต่าง
ๆ แขวนลอยอยู่
การที่น้ำผึ้งมีฟองอากาศอยู่มากและมีลักษณะเหลว ถ้าเปิดภาชนะดมดูจะมีกลิ่นบูดเปรี้ยวแสดงว่าน้ำผึ้งนั้นบูดแล้ว โดยมีเชื้อส่าทำปฏิกิริยาของส่านั่นเอง น้ำผึ้งที่ดีควรมีรสหวาน หอมไม่ขมเฝื่อน ไม่มีรสหรือกลิ่นไหม้ที่แสดงว่า
น้ำผึ้งนั้นได้รับความร้อนสูงเกินไปในขบวนการเก็บหรือการบรรจุ
5. ไขผึ้งหรือขี้ผึ้ง
ไขผึ้งหรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อของขี้ผึ้งนั้น
เป็นสารที่มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นไขผลิตจากต่อมไขซึ่งมีอยู่ 4
คู่ ซ่อนอยู่ภายในปล้องท้องด้านล่างของผึ้งงาน
ผึ้งงานตัวเต็มวัยจะมีต่อมไขนี้เจริญดีที่สุด เมื่อมีอายุประมาณ 2
สัปดาห์
โดยที่มันผลิตไขผึ้งออกมาในรูปเกล็ดบางสีขาวบริสุทธิ์เหมือนน้ำนม ผึ้งงานใช้เกล็ดไขผึ้งนี้ในการสร้าง ซ่อมแซม
และปิดฝาหลอดรวง
ไขผึ้งเป็นสารที่สังเคราะห์มาจากน้ำภายในระบบทางเดินอาหารของผึ้งงาน ไขผึ้งบริสุทธิ์จะมีกลิ่นคล้าย ๆ น้ำผึ้ง
ด้วยเหตุที่มันมีกรดผสมอยู่ด้วยในองค์ประกอบ ไขผึ้งที่หลอมเหลวจะทำปฏิกิริยากับโลหะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ไขผึ้งสัมผัสกับโลหะนานจนเกินไปจนทำให้ไขผึ้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ โดยทั่วไปไขผึ้งเป็นของแข็งมีลักษณะอ่อนนิ่มเป็นมัน
เมื่อได้รับความร้อนเพียงเล็กน้อยจะอ่อนตัวและหลอมเป็นของเหลวได้ง่าย
ไขผึ้งที่หลอมเหลวจะกลับมีคุณสมบัติดังเดิมได้เมื่อเย็นลง
6. รอแยลเจลลี่ (Royal
jelly)
รอแยลเจลลี่ คือ สิ่งที่ขับออกมาจากต่อมอาหาร (Food gland)
ซึ่งอยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน โดยเฉพาะผึ้งงานที่มีอายุ 5 – 15
วัน เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
เมื่อผึ้งงานให้อาหารแก่ตัวอ่อนเพศเมียของผึ้ง
ตั้งแต่เริ่มฟักออกจากไข่จนเข้าดักแด้
ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตกลายเป็นผึ้งแม่รังที่สมบูรณ์
7. โพรโพลิส (Propolis) หรือยางไม้
โพรโพลิส คือ สารเหนียวหรือยางเหนียว ๆ ที่ผึ้งเก็บมาจากตาหรือเปลือกของต้นไม้เพื่อใช้ปิดรอยโหว่ของลังเลี้ยงและห่อหุ้มศัตรูที่ถูกผึ้งฆ่าตายในรังผึ้ง แต่ไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังผึ้งได้
โพรโพลิสที่ได้จากผึ้งจะมีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าเชื้อโรค (Antiseptic) ด้วย
8. เกสร (Pollen)
เกสรคือ
เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บรวบรวม
โดยการเข้าไปคลุกเคล้ากับอับเกสรให้เกสรติดตามตัวและใช้ขาปัดเขี่ยรวมกันเป็นก้อน ติดไว้ที่ขาหลังบริเวณอวัยวะที่เรียกว่าตะกร้า เก็บเกสร
และขนบินกลับมาเก็บยังรังเพื่อเป็นอาหารประเภทโปรตีน
สำหรับประชากรในรังและโดยเฉพาะใช้เลี้ยงตัวอ่อน เกสรที่นำมาบ่มในรังจนผนังเกสรนุ่ม จะถูกนำไปเลี้ยงผึ้งงานตัวอ่อนที่มีอายุมากกว่า 3
วัน
โดยบดผสมกับรอแยลเจลลี่
องค์ประกอบในเกสรพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน
แต่โดยทั่วไปแล้วมีโปรตีนเป็นพื้นฐานและมีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ไขมัน
คาร์โบไฮเดรท เอ็นไซม์ แร่ธาตุต่าง ๆ และวิตามิน
9. พิษผึ้ง (Bee
Venom)
พิษผึ้ง คือ
สารประกอบโปรตีนที่ผึ้งปล่อยออกมาจากต่อมสร้างพิษ ผ่านออกทางเหล็กในของผึ้ง ผึ้งงานเมื่อเกิดขึ้นมาในระยะแรกนั้นยังสร้างพิษไม่ได้แต่หลังจากอายุในช่วง 10 – 14
วัน
ปริมาณพิษผึ้งจะมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และจะทำหน้าที่ในการป้องกันรังจากศัตรู
องค์ประกอบทางเคมีของพิษผึ้งมีคุณค่าทางการแพทย์ เช่น
ฮีสตามีน(histamine) เซอโรโตนิน(serotonine) โดพามีน(dopamine) ฯลฯ
และนอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนและเอ็นไซม์
เป็นองค์ประกอบเล็กน้อย
10.
การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานน้ำผึ้ง
10.1
มาตรฐานน้ำผึ้ง
- ความชื้นร้อยละไม่เกิน 21
- น้ำตาลรีดิวซิ่งคิดเป็นน้ำตาลอินเวอร์ตร้อยละไม่น้อยกว่า 65
- น้ำตาลซูโครสร้อยละไม่เกิน 5
- ค่าไดเอซิเตส แอกติวิตี้ส์ (โกแตสเกล) ไม่น้อยกว่า 3
- ไฮดรอกซีแมลทิล เฟอร์ฟิวรัล (มก./กก.) ไม่เกิน 80
- ความชื้นร้อยละไม่เกิน 21
- น้ำตาลรีดิวซิ่งคิดเป็นน้ำตาลอินเวอร์ตร้อยละไม่น้อยกว่า 65
- น้ำตาลซูโครสร้อยละไม่เกิน 5
- ค่าไดเอซิเตส แอกติวิตี้ส์ (โกแตสเกล) ไม่น้อยกว่า 3
- ไฮดรอกซีแมลทิล เฟอร์ฟิวรัล (มก./กก.) ไม่เกิน 80
10.2 อายุของน้ำผึ้ง
แม้ว่าจะเก็บไว้ได้นานแต่ควรรับประทานก่อน 2 ปี เพื่อความสดใหม่ ในรสชาติของน้ำผึ้ง
แม้ว่าจะเก็บไว้ได้นานแต่ควรรับประทานก่อน 2 ปี เพื่อความสดใหม่ ในรสชาติของน้ำผึ้ง
10.3 การเลือกซื้อน้ำผึ้ง
ปัจจุบันมีน้ำผึ้งวางขายอยู่ในตลาดหลายประเภทและหลายชนิด
มีทั้งน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า และได้จากผึ้งพันธุ์ที่ผู้เลี้ยงผึ้งนิยมเลี้ยงกันเป็นอาชีพ
ผึ้งพันธุ์นี้เป็นผึ้งที่ผู้เลี้ยงผึ้งเเข้าไปจัดการผึ้งได้ ทำให้ได้น้ำผึ้งหลายชนิด
มีน้ำผึ้งจากสาบเสือ ขี้ไก่ย่าน นุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เงาะ ยางพารา งา มันสำปะหลัง ทานตะวัน
พืชป่าอีกหลายชนิด กรรมวิธีในการเก็บน้ำผึ้งที่แตกต่างกัน ทำให้น้ำผึ้งที่ได้มีคุณภาพต่างกันด้วย
อีกทั้งยังมีน้ำตาลละลายน้ำ ที่ผู้ขายหาบชายแล้วบอกว่าเป็นน้ำผึ้ง หรือสารละลายน้ำตาลเข้มข้นที่วางอยู่ในร้านค้าต่างๆ
ความหลากหลายทั้งชนิดและคุณภาพน้ำผึ้งนี้ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเลือกซื้อน้ำผึ้ง
บางครั้งอาจจะได้น้ำผึ้งปลอมก็ได้ การที่จะได้น้ำผึ้งแท้ ได้มาตรฐาน มีข้อพิจารณาดังนี้
1) การดู น้ำผึ้งที่ดีต้องบรรจุอยู่ในภาชนะที่สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน
ไม่มีฟองอากาศ มีความหนืดสูง(มีน้ำน้อย) คือ เอียงภาชนะใส่น้ำผึ้งแล้วน้ำผึ้งไหลไปตามขอบภาชนะช้า
การทดสอบโดยการหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษชำระ หยดน้ำผึ้งลงในน้ำชา หรือการนำไม้ขีดไปจุ่มในน้ำผึ้ง
แล้วไปขีดข้างกล่อง วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการทดสอบปริมาณน้ำในน้ำผึ้งเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าน้ำผึ้งนั้นเป็นน้ำผึ้งแท้
เพราะสารละลายน้ำตาลที่เข้มข้นก็ให้ผลไปในทำนองเดียวกัน สีของน้ำผึ้งจะมีสี(1)ตามชนิดของพืชที่ให้น้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งสาบเสือจะมีสีเหลืองอ่อน น้ำผึ้งลิ้นจี่มีสีขาวใส
น้ำผึ้งลำไยมีสีน้ำตาลอ่อน เป็นต้น(2)อายุของรวงผึ้ง รวงผึ้งที่ใหม่จะให้น้ำผึ้งสีตรงตามชนิดของพืชที่ให้น้ำผึ้ง
รวงผึ้งเก่าที่จะให้น้ำผึ้งสีดำขึ้น(3)ตามระยะเวลาของการเก็บน้ำผึ้งของน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งที่เก็บไว้นานจะมีสีเข้มขึ้น ตามระยะเวลาที่มากขึ้น เก็บน้ำผึ้งไว้นานน้ำผึ้งจะมีสีดำ
น้ำผึ้งที่มีสีดำต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะน้ำผึ้งสีดำนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของพืช
อายุของการเก็บน้ำผึ้งแล้ว ยังขึ้นอยู่กับน้ำผึ้งได้รับความร้อน(ถูกต้ม)เพื่อการระเหยน้ำออกจากน้ำผึ้งด้วย
คุณภาพน้ำผึ้งจะต่ำลง
2) ดม น้ำผึ้งมีกลิ่นเฉพาะตัวเป็นไปตามชนิดของพืชอาหารผึ้ง
น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ที่แสดงให้รู้ว่าน้ำผึ้งนั้นบูดเสีย หรือน้ำผึ้งมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่แสดงให้รู้ว่าน้ำผึ้งนั้นผ่านการให้ความร้อนเพื่อระเหยน้ำออกจากกน้ำผึ้ง
3) การชิม การชิมน้ำผึ้งเป็นวิธีการตรวจสอบน้ำผึ้งที่ง่าย
ประหยัดและรวดเร็วน้ำผึ้งแต่ละชนิดมีรสเฉพาะตัว ผู้ที่กินน้ำผึ้งหลายชนิดและบ่อยครั้งจะสามารถแยกชนิดของน้ำผึ้งได้
น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่มีรสเปรี้ยวหรือขมเผื่อน ต้องไม่มีรสของน้ำตาลที่ใช้เลี้ยงผึ้งด้วย
หลักการทั้ง3 ข้อนี้เป็นข้อพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อน้ำผึ้งได้ตรงตามชนิดและคุณภาพที่ต้องการ
ทั้งนี้ผู้ที่เลือกซื้อ จะต้องฝึกฝนตนเองกับน้ำผึ้งแท้ที่มีมาตรฐาน
การเลือกซื้อน้ำผึ้ง
ควรเลือกซื้อน้ำผึ้งที่ดีมีคุณภาพ มีกลิ่นหอมและมีรสหวานตามธรรมชาติ มีความใสปราศจากสารแขวนลอยเมื่อนำภาชนะบรรจุส่องกับแสง
ปราศจากฟองอากาศ มีความข้นเหนียวหรือมีปริมาณความชื้นต่ำ อยู่ในช่วงร้อย 17 - 18.5
10.4 การทดสอบน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งปลอมหรือการปลอมปนน้ำผึ้งได้เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้นานแล้วรวมทั้งในประเทศไทยด้วย
เพราะน้ำผึ้งแท้นั้นจัดเป็นของหายากและมีความต้องการมากกว่าการผลิตได้ตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุให้มีการปลอมปนน้ำผึ้งกัน
โดยจะปลอมปนน้ำตาล,
แบะแซ, น้ำตาลทรายเคี่ยวหรือคาราเมลลงไปปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง
การตรวจจับด้วยเทคนิคต่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก
นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก
วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือการตรวจสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยตนเอง
โดยมีวิธีการตรวจคุณภาพน้ำผึ้งอย่างง่าย ๆหลายวิธีการ ดังนี้
1) ตรวจสอบโดยสังเกตจากลักษณะทางกายภาพ
1) ตรวจสอบโดยสังเกตจากลักษณะทางกายภาพ
-
มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
-
มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาล ใส ไม่ขุ่นทึบ
- มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้ในท้องถิ่นนั้นๆ
เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
- ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
- ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
- ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
- การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึม
2) เขย่าขวดดูฟองอากาศและการแยกชั้น
โดยน้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว ไม่เห็นการแยกชั้นของน้ำผึ้ง ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก
ลอยตัวช้า มองเห็นการแยกตัวเป็นชั้น(การทดสอบการไม่เข้ากันของน้ำตาล)
3) การหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชูเพื่อตรวจดูการซึมผ่าน โดยที่น้ำผึ้งแท้นั้นจะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็วหรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุเนื่องจากมีปริมาณของน้ำเจือปนมาก (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
4)เอาหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดติดไฟที่ข้างกลัก โดยน้ำผึ้งแท้ไม้ขีดนั้นจะสามารถจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติด (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
5) การเอาน้ำผึ้งหยดลงในแก้วใส่น้ำเย็น โดยน้ำผึ้งแท้จะรวมเป็นก้อนจมลงก้นแก้วและค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันทีเนื่องจากมีการยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยกว่าน้ำผึ้งแท้ (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
6) การทิ้งให้ตกผลึก มีหลายท่านเข้าใจผิดว่าน้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึกแต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่รูปแบบของผลึกที่เกิดขึ้นนั้นจะมีความแตกต่างกัน เช่น น้ำผึ้งแท้จะมีรูปของผลึกเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนผลึกของน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือคาราเมล(น้ำตาลเคี่ยว)จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแต่ต้องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่เกิดจากจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก
3) การหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชูเพื่อตรวจดูการซึมผ่าน โดยที่น้ำผึ้งแท้นั้นจะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็วหรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุเนื่องจากมีปริมาณของน้ำเจือปนมาก (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
4)เอาหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดติดไฟที่ข้างกลัก โดยน้ำผึ้งแท้ไม้ขีดนั้นจะสามารถจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติด (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
5) การเอาน้ำผึ้งหยดลงในแก้วใส่น้ำเย็น โดยน้ำผึ้งแท้จะรวมเป็นก้อนจมลงก้นแก้วและค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันทีเนื่องจากมีการยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยกว่าน้ำผึ้งแท้ (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
6) การทิ้งให้ตกผลึก มีหลายท่านเข้าใจผิดว่าน้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึกแต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่รูปแบบของผลึกที่เกิดขึ้นนั้นจะมีความแตกต่างกัน เช่น น้ำผึ้งแท้จะมีรูปของผลึกเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนผลึกของน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือคาราเมล(น้ำตาลเคี่ยว)จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแต่ต้องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่เกิดจากจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก
7)
ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชาแก่ สังเกตการณ์ละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันแล้ว
น้ำชาจะไม่เปลี่ยนสี ถ้าน้ำชาเปลี่ยนสี แปลว่ามีแนวโน้มที่มีส่วนประกอบของแบะแซผสม
อยู่ในน้ำผึ้ง
10.5 ลักษณะน้ำผึ้งปนและปลอม
1) กลุ่มที่หนึ่ง การปลอมแบบชาวบ้าน
ปนปลอมแบบชาวบ้านคือ
เมื่อได้น้ำผึ้งมาเล็กน้อยก็นำมาผสมกับน้ำตาลละลายน้ำและแบะแซเพื่อให้เหนียวหนืดบรรจุขวดขาย
แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะบอกว่าเป็น “ น้ำผึ้งแท้ “ พร้อมท้าให้พิสูจน์
ถ้าไม่เชื่อเชิญพิสูจน์ได้ โดยบอกเทคนิควิธีทดสอบหลายอย่าง เช่น
หยดลงในน้ำจะเกาะเป็นก้อน เมื่อเอาช้อนคนดูก็จะเห็นเป็นสาย
หรือหยดลงในกระดาษทิชชูก็จะไม่ซึม นำหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มแล้วจุดไฟติด เป็นต้น
เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่วิธีพิสูจน์ความแท้ของน้ำผึ้ง
แต่เป็นเพียงการพิสูจน์ความเข้มข้นของน้ำผึ้งเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าความชื้นไม่เกิน
21% ก็จะเป็นไปตามที่กล่าวมา นี่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นให้หลงทาง
น้ำผึ้งที่ปลอมด้วยวิธีนี้จะต้องทดสอบเพื่อหาส่วนประกอบ ของแบะแซ
วิธีที่ง่ายที่สุด คือ “ ให้นำใบชาจีนมาใส่แก้วให้มากสักหน่อยแล้วเติมน้ำร้อนจัดๆ
คนให้ได้น้ำชาแก่ที่สุด ตักเอากากชาออก จากนั้นให้เติมน้ำผึ้งลงไปประมาณ 2-3 ช้อน
คนให้ทั่ว ถ้าน้ำชาไม่เปลี่ยนสี นั่นคือ “น้ำผึ้งแท้”
2) กลุ่มที่สอง การปลอมแบบมืออาชีพ
กลุ่มนี้เป็นการปนปลอมแบบมืออาชีพ
มีความรู้และศึกษาความต้องการของตลาดน้ำผึ้งบ้านเราพอสมควร
สิ่งแรกคือเขารู้ว่าบ้านเรานิยม “ น้ำผึ้งป่า “ เขาก็จะเอาน้ำผึ้งที่ได้จากการเลี้ยง
( ชนิดที่มีคุณภาพต่ำ ) ไปแต่งสี แต่งกลิ่น ผู้บริโภคต้องการสีไหน
กลิ่นไหนก็สามารถทำได้ ใส่สารป้องกันการตกตะกอน แล้วนำเอาเกสรผึ้งมาผสมปนลงไป
ใส่ขวดให้เป็นแบบชาวบ้าน ตั้งทิ้งไว้ระยะหนึ่งเกสรผึ้งก็จะลอยขึ้นมาที่ปากขวด
แล้วบอกว่า “ นี่แหละน้ำผึ้งป่า “ กระบวนการปลอมชนิดนี้มีเอเย่นต์ส่งขายถึงชายแดนทั่วไป
เช่น อ.แม่สอด จ. ตาก , จ. แม่ฮ่องสอน, อ. แม่สาย จ. เชียงราย ผู้บริโภคบางคนอุตสาห์ไปซื้อมาจากท่าขี้เหล็ก
ประเทศพม่า หรือปอยเปต ประเทศกัมพูชา แต่กลับล้วนเป็นน้ำผึ้งปลอมจากประเทศไทย
ทั้งสิ้น น้ำผึ้งที่ปลอมด้วยวิธีนี้ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิธีธรรมดา
จะต้องทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อหาค่าต่างๆ ให้ได้มาตรฐานสากล
ที่ได้มีการกำหนดไว้แล้ว
เอกสารอ้างอิง
สิริวัฒน์ วงษ์ศิริ. 2528. หลักการเลี้ยงและขยายพันธุ์ผึ้งในประเทศไทย. สมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์,
กรุงเทพ:
ฟันนี่พับบลิชชิ่ง.
เพ็ญศรี ตังคณะสิงห์.
2529. ชีววิทยาของผึ้ง. ฝ่ายวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง.
www.FoodScience.today.htm. 2549. น้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งปลอม.
www.sayanhoneyfarm.com. 2547. มารู้จักน้ำผึ้งกันเถอะ. ( 29 สิงหาคม 2547)
ข้อมูลจาก:โครงการหมู่บ้านพิทักษ์ป่ารักษาสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่
ดอกไม้งาม ยวนยั่ว หมู่ภู่ผึ้ง แมลงซึ้ง รสหวาน ดอกไม้หนา
เข้าเกลือกกลั้ว ติดเกสร ดอกออกมา เผยแพร่พรรณ พฤกษา อย่างพึ่งพิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น