วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การเลี้ยงผึ้งโก๋น(ผึ้งโพรงป่า) ตอนที่ 1


ภูมิปัญญาการเลี้ยงผึ้งโก๋น(ผึ้งโพรงป่า)  ตอนที่ 1

"ความรู้ทั่วไป"

Mr.Sawing Khuntasa




        เมื่อกล่าวถึง "น้ำผึ้ง" หลายคนคงจะรู้จักและรับรู้ถึงสรรพคุณที่หลากหลายเป็นอย่างดี  ดังจะพิสูจน์ได้จาก มีตำรา สูตรอาหาร สมุนไพร และการบรรยายถึงสรรพคุณของน้ำผึ้ง ในทุกวัฒนธรรมของมนุษย์ทุกมุมโลก  แต่หลายท่านคงยังสงสัยว่า แล้วน้ำผึ้งที่เราทานปัจจุบันเป็นน้ำผึ้งจากผึ้งชนิดใด  เป็นน้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งเทียม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำผึ้งนั้นเป็นน้ำผึ้งแท้ๆ ก็มีหลากหลายทฤษฏี ให้มาพิสูจน์กัน ในสัปดาห์นี้ ผมจะเอาความรู้เกี่ยวกับผึ้งป่า มาฝากพี่น้องกันนะครับ เป็นบทความเก่าที่เขียนเผยแพร่หลายปีละ แต่ตอนนี้เอามาเผยแพร่ใหม่โดย บทความจะแบ่งเป็น ตอนๆ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจ โดย จะกล่าวถึงนิเวศวิทยาผึ้งและการตรวจสอบน้ำผึ้ง(โดยคร่าว ๆ)และภูมิปัญญาการเลี้ยงผึ้งโก๋น หรือ ผึ้งโพรงป่า ภูมิปัญญาที่ใกล้จะสูญหายไปจากชุมชน  ซึ่งจะนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้นะครับ ...........


1.  ชนิดของผึ้ง
                ผึ้งเป็นแมลงสังคมชั้นสูงที่อยู่เป็นครอบครัวใหญ่หรือเป็นกลุ่มสมาชิกภายในรังสังคมผึ้งเป็นสังคมแบบสมบูรณ์ที่สมาชิกทุกเพศทุกวรรณะในสังคมมีความสำคัญและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป  สำหรับผึ้งที่มีในประเทศไทยปัจจุบันในสกุลเอพิส  (Apis) มีอยู่  ชนิด  คือ
                1. ผึ้งมิ้ม  (Apis  florea)  มีขนาดของตัวผึ้งและรังเล็กที่สุด เปรียบกับผึ้งทั้ง  ชนิด  เส้นผ่าศูนย์กลางของรังประมาณ  20  เซนติเมตร  ผึ้งมิ้มชอบสร้างรังบนต้นไม้และซุ้มไม้ที่ไม่สูงจนเกินไปนัก  ลักษณะรังเป็นรวงรังชั้นเดียวมักจะมีที่ปกปิดด้วยซุ้มใบไม้และกิ่งไม้  เพื่อป้องกันศรัตรูพบเห็น
                2.  ผึ้งหลวง  (Apis  dorsata)  มีขนาดของตัวผึ้งและรังใหญ่ที่สุด  เส้นผ่าศูนย์กลางของรังประมาณ  0.5 – 1 เมตร  ผึ้งหลวงมักจะสร้างรังบนต้นไม้สูง ๆ หรือภายนอกของอาคารบ้านเรือนลักษณะรวงรังมีชั้นเดียวเป็นรูปครึ่งวงกลมไม่มีที่ปกปิด  มีพฤติกรรมดุกว่าผึ้งทุกชนิด
                3. ผึ้งโพรง  (Apis  cerana)  มีขนาดตัวผึ้งใหญ่กว่าผึ้งมิ้มแต่เล็กกว่าผึ้งหลวง  โดยสร้างรังในโพรงไม้ในอาคารบ้านเรือนที่มิดชิดและมืด  เช่น  ภายใต้หลังคา  ลักษณะมีรวงรังหลาย ๆ ชั้น เรียงขนานกัน  ขนาดรวงรังมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  30  เซนติเมตร  สามารถนำมาเลี้ยงในหีบได้เช่นเดียวกับผึ้งพันธุ์
                4. ผึ้งพันธุ์  (Apis  mellifera)  มีขนาดตัวผึ้งใหญ่กว่าผึ้งโพรงแต่เล็กกว่าผึ้งหลวง  เป็นผึ้งที่นำมาเลี้ยงจากต่างประเทศ  ดังนั้นจึงมีผู้นิยมเรียกว่า  ผึ้งฝรั่งบ้าง  ผึ้งอิตาเลียนบ้าง


ผึ้งหลวง


ผึ้งโพรงป่า



 ผึ้งมิ้ม

2.  ชีวิตในสังคมของผึ้ง
                ผึ้งเป็นสัตว์สังคมชั้นสูงจะอยู่เป็นครอบครัวใหญ่หรือเป็นกลุ่มสมาชิกภายในรัง  แต่ละรังเป็นหนึ่งครอบครัว  จะประกอบด้วย  วรรณะ  คือ  ผึ้งนางพญา(queen)  ผึ้งงาน (worker) และผึ้งตัวผู้ (drone) ภายในรังจะมีผึ้งแม่รังหนึ่งตัว  ผึ้งตัวผู้หลายร้อยตัว  และผึ้งงานเป็นหมื่นๆ  ตัว 
2.1  วรรณะผึ้ง
                                ผึ้งนางพญา  เป็นผึ้งเพศเมียที่ทำหน้าที่วางไข่ในรังผึ้ง  จึงเรียกว่าผึ้งแม่รัง  ขนาดลำตัวโตกว่าและปล้องท้องยาวกว่าผึ้งงาน  ความยาวของปีกคลุมส่วนท้องได้ประมาณกึ่งหนึ่ง  มีหน้าที่ผสมพันธุ์  วางไข่และควบคุมสังคมผึ้ง  ด้วยการปล่อยสารเคมีแล้วปล่อยออกไปทั่วบรรยากาศภายในรังผึ้ง  ไข่ที่ผึ้งแม่รังวางจะพัฒนาเป็นผึ้งวรรณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับไข่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้หรือไม่  ไข่ที่ผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้  ไข่จะฟักและพัฒนาเป็นผึ้งเพศเมียที่เป็นผึ้งแม่รังหรือผึ้งงาน  ไข่ที่ไม่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อผึ้งตัวผู้  ไข่จะฟักและพัฒนาเป็นผึ้งตัวผู้
                                ผึ้งงาน  เป็นผึ้งเพศเมีย  มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาผึ้งทั้ง  วรรณะ  มีอวัยวะที่แตกต่างไปจากผึ้งวรรณะอื่น ๆ  เช่น  มีอวัยวะที่ขาหลังดัดแปลงใหญ่ขึ้นสำหรับเก็บเกสร  มีอวัยวะทางเดินอาหารส่วนหน้าขยายเป็นถุงเรียกว่า  กระเพาะเก็บน้ำผึ้ง (honey  sac)  มีต่อมสร้างไขผึ้ง (wax  glands)  เพื่อสร้างและซ่อมแซมรวงรัง  แม้ผึ้งงานจะเป็นผึ้งเพศเมียเหมือนผึ้งนางพญา  แต่ไม่สามารถสร้างไข่ได้  เนื่องจากรังไข่เล็กยกเว้นในกรณีที่รังนั้นไม่มีนางพญาหรือแม่รังหายไป  รังไข่ของผึ้งงานจะขยายและวางไข่ได้  แต่ไข่ที่วางจะฟักเป็นตัวหนอนและเจริญเป็นผึ้งตัวผู้  การทำงานของผึ้งงานขึ้นอยู่กับอายุและความจำเป็นของสังคม  หลังจากออกจากดักแด้ก็จะทำงานในรัง  เริ่มแรกจะทำหน้าที่ทำความสะอาดรัง  ซ่อมแซมรวง  ป้อนอาหารให้ผึ้งแม่รังตัวผู้และตัวอ่อนผึ้ง  ถ่ายทอดสารเคมีที่ได้รับจากผึ้งแม่รังให้กระจายไปทั่วรัง  ควบคุมอุณหภูมิภายในรัง ฯลฯ  และเมื่ออายุได้  22 – 23  วัน จะทำงานนอกรังทำหน้าที่หาอาหาร  จนกระทั่งตาย
                                ผึ้งตัวผู้  มีขนาดใหญ่กว่าและอ้วน  ลำตัวกว้างกว่าผึ้งนางพญาและผึ้งงาน  มีตารวมที่ใหญ่และหนวดที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ  เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและรับกลิ่น  ซึ่งลักษณะเฉพาะนี้มีเพื่อการผสมพันธุ์กับผึ้งนางพญาในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น  ปลายท้องมนไม่มีเหล็กในสำหรับป้องกันตัว  มีลิ้นสั้นสำหรับรับอาหารจากผึ้งงานและจากหลอดรวมเก็บน้ำผึ้งในรัง  ไม่ออกไปเก็บอาหารจากดอกไม้  ไม่มีถุงเก็บเกสร  ไม่มีต่อมสร้างขี้ผึ้ง  หรือต่อมสร้างกลิ่น  ทั้งนี้เพราะมันไม่มีหน้าที่ทำงานในรัง  นอกจากบินออกไปหาผึ้งนางพญาและทำการผสมพันธุ์ภายนอกรัง  อายุของผึ้งตัวผู้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผึ้งงาน  กล่าวคือเมื่อผึ้งตัวผู้หมดความจำเป็นต่อรังมันก็จะถูกกำจัดไป  โดยผึ้งงานหยุดป้อนอาหารและคาบออกมานอกรัง  ผึ้งตัวผู้จะอดตายในที่สุด




2.2 การหาน้ำหวานและเกสร
                การหาน้ำหวานและเกสรจะเป็นหน้าที่ของผึ้งงาน  โดยถ้าผึ้งงานเริ่มเก็บน้ำหวานและเกสรจากพืชชนิดใดจะมีการทำงานอย่างน้อย  หรือ วัน  และอาจหาจากดอกไม้ชนิดนั้นอย่างเดียวไปถึง  20  วัน  จนดอกไม้นั้นโรยหมดไป  ถ้าพืชนั้นสร้างน้ำหวานและให้เกสรในช่วงเวลาเฉพาะของวัน  ผึ้งจะปรับปรุงช่วงการทำงานให้เข้ากับดอกไม้บาน  บางครั้งพบว่าช่วงตอนเช้าพืชบางชนิดบานให้เกสรมาก  ผึ้งงานจะขนเกสรเข้าถึง  60 – 70  %  ของผึ้งที่กลับรัง  จะมีเกสรกลับมาเต็ม  และเข้าไปบรรจุในหลอดเซลล์ที่ใช้เก็บเกสร  และตอนบ่ายจะเปลี่ยนเป็นเก็บน้ำหวานจากดอกไม้อีกชนิดหนึ่ง  เช่น การเก็บเกสรจากไมยราพเถาในตอนเช้าและเก็บน้ำหวานจากดอกสาบเสือในตอนบ่าย  (จากการสังเกตพฤติกรรมผึ้งที่สถานีวิจัยผึ้งพรหมพร  จังหวัดตราด)
                ในการบิน  ผึ้งใช้ความเร็วเฉลี่ย  24  กม./ชมในระหว่างบินออกหากินจะมีความเร็วประมาณ  20 – 29  กม./ชม. โดยมากจะออกไปหาระหว่าง  1 – 3  กมจากรัง แต่ก็อาจไปไกลถึง 12  กมการออกบินใช้เวลาตั้งแต่  นาที ถึง ชั่วโมงและจะตอมดอกไม้ชนิดเดียวกันครั้งละ  8 – 10  ดอก  เก็บเกสรประมาณ  12 – 29  มกกลับรังและออกไป  6 – 47  ครั้ง/วัน  ปกติผึ้งที่ออกไปหาน้ำหวานและเกสรจะนำเกสรกลับมาประมาณ  25  %  และ  58 – 60 % จะเอาเฉพาะน้ำหวานกลับ  อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ด้วยว่ามีน้ำหวานหรือเกสรมาก  บางครั้งดอกไม้บานมีแต่น้ำหวานจะทำให้ผึ้งขาดเกสรได้เช่นกัน
                ผึ้งงานที่ออกหากินอาจทิ้งกลิ่นเฟอโรโมน (2 – heptanone) เมื่อไปตอมดอกไม้  เพราะผึ้งตัวอื่นจะไม่ไปตอมดอกที่ถูกเก็บน้ำหวานไปหมดแล้ว  ปริมาณน้ำหวานที่เก็บประมาณ  25 – 70 มก./ตัว/เที่ยว  เฉลี่ย  40  มกในวันที่ร้อนและความเข้มข้นของน้ำตาลสูง  ผึ้งจะเก็บมากขึ้น  เวลากลับรัง  ผึ้งจะแจกจ่ายน้ำหวานที่หามาได้กับผึ้งเฝ้ารัง  โดยการสัมผัสด้วยหนวดและขาหน้าผึ้งประจำรังจะรับด้วยงวง  (proboscis) จึงเป็นการส่งให้โดยไม่มีน้ำหวานหยดลงบนพื้นเลยแล้วผึ้งหาอาหารก็จะทำความสะอาดงวงด้วยขาหน้า  ทำความสะอาดปากหนวดด้วยรอยบากที่ขาหน้าก่อนจะบินออกหากินต่อไป  ทันทีที่ผึ้งประจำรังรับน้ำหวานแล้ว  มันจะเคลื่อนที่ไปยังที่ที่มีเซลล์ว่างเพื่อเก็บไว้ในเซลล์น้ำผึ้ง 
2.3  การหาน้ำและโพรโพลิส
                ผึ้งงานจะหาน้ำซึ่งมีความจำเป็นมากในฤดูร้อนเพื่อทำให้ภายในรังเย็น  ผึ้งจะไม่เก็บน้ำไว้ในรังจะมีน้ำเพียงในกระเพาะเก็บน้ำหวานของผึ้งงานเท่านั้น  แล้วแจกจ่ายให้แก่ตัวอื่นเมื่อมาถึงรังเพื่อจะป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนร้อนและขาดน้ำ  มันจะหยดน้ำลงในเซลล์เล็กน้อยหรือหยดลงบนฝาปิดเซลล์ตัวหนอน  ถ้ารังผึ้งตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ปศุสัตว์และเล้าหมู  และไม่มีแหล่งน้ำสะอาดใกล้ ๆ  ผึ้งอาจจะบินไปหาน้ำสกปรกจากบริเวณที่เลี้ยงสัตว์และนำกลับมารังได้ 
ผึ้งงานบางตัวจะเก็บโพรโพลิสโดยเฉพาะในฤดูร้อน  โพรโพลิสเป็นยางไม้จากพืช  ที่ผึ้งงานจะกัดเอาด้วยกรามและใช้ขาคู่แรกเขี่ยลงไปเก็บที่ถุงเก็บเกสร  ใช้เวลา  15 – 60  นาที  พอถึงรังมันจะส่งให้ตัวอื่นเอาไปเคี้ยวอาจปนไขผึ้งลงไปเล็กน้อย  แล้วนำไปที่ที่มันต้องการใช้  จำนวนผึ้งที่ออกหาโพรโพลิสมีน้อย  จะใช้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น  จากการสังเกตของสถาบันผึ้งในประเทศจีนรายงานว่าไม่พบมีผึ้งโพรงเก็บโพรโพลิสเหมือนผึ้งพันธุ์
2.4  การรักษาอุณหภูมิ
                การรักษาอุณหภูมิภายในรังผึ้งนั้นสำคัญมาก เพราะผึ้งเป็นแมลงประเภทสัตว์เลือดเย็น ร่างกายไม่สามารถปรับอุณหภูมิภายในได้รวดเร็วเหมือนสัตว์เลือดอุ่น  ดังนั้นวิธีปรับอุณหภูมิภายในรังจึงเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของผึ้งงานที่ไม่พบในแมลงทั่วไป   บริเวณรวงตัวอ่อนมีอุณหภูมิพอเหมาะระหว่าง  33 – 35 องศาเซลเซียส  และอุณหภูมิภายในรัง  29  องศาเซลเซียส  ในฤดูร้อนผึ้งจะกระจายตัวกันอยู่และจะมีการทำให้เย็นได้โดยกระพือปีกพัดน้ำที่หามาให้ระเหยเหมือนระบบพัดลมปรับอากาศ ในฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า  14  องศาเซลเซียส  ผึ้งจะเกาะกลุ่มกันแน่นภายในรังเพื่อเพิ่มความร้อนขึ้น  และผึ้งจะแข็งตายเมื่ออุณหภูมิลงลงถึง  1.9  องศาเซลเซียส
2.5  การป้องกันรัง
                พฤติกรรมป้องกันรังของผึ้งเป็นพฤติกรรมของแมลงสังคมที่น่าสนใจมาก  ผึ้งแต่ละรังจะมีความดุมากน้อยไม่เท่ากัน  ทั้งนี้เกิดจากปัจจัย อยู่  ประการ  คือ
1.             พฤติกรรมที่สืบทอดทางพันธุกรรม
                2.  สภาพแวดล้อมภายนอก  เช่น  อุณหภูมิและแสงแดด  เป็นต้น  พบว่าความก้าวร้าวของผึ้งจะน้อยมาก  เมื่ออุณหภูมิพอเหมาะ  ท้องฟ้าแจ่มใสมีแดดจัดในตอนกลางวัน  เพราะผึ้งงานจะใช้เวลาทั้งหมดกับการหาอาหารไม่สนใจในเรื่องอื่น ๆ  แต่เมื่อท้องฟ้า  ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหรือมีฝนตกพรำ ๆ  อุณหภูมิต่ำผึ้งงานที่เฝ้าอยู่หน้ารังจะดุมาก   ถ้ามีสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ อยู่หน้ารัง  ผึ้งงานจะบินเข้าไปต่อยทันที
ผึ้งงานสามารถป้องกันตัวและรังของมันได้โดยอาศัยเหล็กในที่ยาว  1.5  มม. (1/6  นิ้วซึ่งสามารถต่อยทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บและถึงตายได้ในพวกสัตว์ศัตรูขนาดเล็ก  รังผึ้งจะมีการป้องกันมากในฤดูการเก็บน้ำผึ้ง  เนื่องจากมีปริมาณน้ำหวานในดอกไม้มาก  ผึ้งจะเก็บสะสมน้ำผึ้งไว้มากถ้าประชากรภายในรังมีมาก   ผึ้งมีเฟอโรโมนเตือนภัย  (alarm  phoromone)  ซึ่งมีบทบาทมากในพฤติกรรมป้องกันรัง  เฟอโรโมนจะถูกปล่อยออกมาเมื่อผึ้งงานปล่อยเหล็กใน  ทำให้ผึ้งตัวอื่นที่ได้กลิ่นเข้าโจมตีศัตรูเพิ่มขึ้นทันที  เมื่อเหล็กในแทงเข้าไปในผิวหนัง  น้ำพิษจะเข้าสู่บาดแผล  ทำให้เกิดความเจ็บปวด  จะเจ็บมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณและความลึกที่น้ำพิษเข้าไป  แต่ละบุคคลจะมีสรีรวิทยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อพิษของผึ้งไม่เท่ากัน  พบว่าถ้าผึ้งต่อยบริเวณส่วนตา  จมูก   และริมฝีปากจะปวดมากกว่าบริเวณอื่น  

3. วงจรชีวิตสังคมผึ้ง
                สังคมผึ้งเป็นสังคมที่มีการดำเนินกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา  โดยสมาชิกผึ้งในรังทุกตัวต่างมีหน้าที่ตามวรรณะและวัยต่างกัน  ร่วมกันดำเนินภารกิจของรังอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นวงจรชีวิตของสังคมผึ้ง มีดังต่อไปนี้
3.1 การแยกรัง 
เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่ผึ้งจะสร้างรังใหม่  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแยกรังมีหลายสาเหตุ  พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
-                   จำนวนประชากรที่มากเกินไป
-                   ความแออัดของรังตัวอ่อน หมายถึง ปริมาณเซลล์ตัวอ่อนหรือจำนวนผึ้งบนรวงตัวอ่อน
-                   อุณหภูมิภายในรังมีแนวโน้มสูงขึ้น
-                   ขาดที่ว่างสำหรับเก็บอาหาร  คือน้ำผึ้งและเกสร
-                   การมีผึ้งตัวผู้ในปริมาณมากๆ
-                   ผึ้งนางพญาอายุมากเกินไป  และเริ่มสร้างหลอดนางพญาใหม่  (ควีนเซลล์)
-                   ความอดอยาก  หรือขาดอาหารที่สัมพันธ์กับความต้องการของรัง
ผึ้งนางพญาที่แก่แล้วมีโอกาสที่จะแยกรังมากกว่าผึ้งที่มีอายุน้อย  สัญญาณการแยกรังจะมีอย่างน้อย  7 – 10  วันก่อนแยกรัง  โดยเริ่มแรกผึ้งงานจะสร้างควีนเซลล์ด้านล่างของรวงตัวอ่อน  มีปริมาณผึ้งตัวผู้มากขึ้น  เมื่อถึงฤดูแยกรังผึ้งนางพญาจะเพิ่มอัตราการวางไข่  เพื่อเพิ่มประชากรให้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อวางไข่เพิ่มจึงมีการให้อาหารผึ้งนางพญาเพิ่ม  ดังนั้นจะมีผึ้งประจำรังเพิ่มขึ้นด้วย  มีการหาอาหารมากขึ้น  รวบรวมน้ำหวานและเกสรเกือบทุกเซลล์จะเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง  เกสร  หรือตัวอ่อน  เมื่อมีประชากรหนาแน่นขึ้นถึงจุดหนึ่งจนไม่มีเซลล์ว่างให้นางพญาวางไข่  ผึ้งงานก็จะลดอาหารของผึ้งนางพญาลง  ท้องของผึ้งนางพญาจะเริ่มหดลง  ช่วงนั้นเองพวกตัวอ่อนที่ถูกปิดเซลล์จะไม่ต้องการอาหารเพิ่มอีก  ดังนั้นจะมีผึ้งงานอายุน้อยจำนวนมากมายที่เกิดขึ้นไม่ต้องเลี้ยงตัวอ่อนจึงไม่มีงานทำ  สภาพเหล่านี้จะเป็นสัญญาณให้มันหารังใหม่  ก่อนแยกรังผึ้งงานที่จะบินแยกไปจะเก็บน้ำผึ้งไว้เต็มกระเพาะเก็บน้ำหวาน  ในวันที่อบอุ่นที่แสงแดดตามปกติ  ระหว่าง  10  โมงเช้าและบ่าย โมง  ผึ้งจำนวนมากก็จะรีบออกจากรัง  ในขณะที่ผึ้งนางพญามีน้ำหนักลดลงประมาณ  30  %  มันจะบินตามไปได้แต่ไม่ได้เป็นตัวนำ  แต่จะถูกห้อมล้อมด้วยผึ้งงานซึ่งเป็นตัวนำบินไป  ผึ้งงานที่แยกไปส่วนใหญ่อายุ  4 – 23  วัน  ผึ้งงานบางตัวจะหยุดและปล่อยกลิ่นนำทาง  หรือนาซานอฟเฟอโรโมน  ทำให้ตัวอื่น ๆ บินตามกันไปในทิศทางเดียวกันรวมเป็นฝูงได้  ถ้าผึ้งนางพญาไม่ตามไปหรือหายไปกลุ่มผึ้งก็จะกลับไปรังเดิม
3.2 การสร้างผึ้งนางพญาใหม่
ผึ้งนางพญาและผึ้งงานจะเตรียมสร้างผึ้งนางพญาใหม่  ใน  3 กรณี คือ 1) ทดแทนผึ้งนางพญาที่หายไปโดยอุบัติเหตุ  2)  แทนที่ผึ้งนางพญาเก่าที่มีอายุมากแต่ยังครองรังอยู่  และ 3) ต้องการแยกรังใหม่  เมื่อผึ้งรังเดิมอุดมสมบูรณ์มาก  หรือเมื่อถึงฤดูแยกรัง (swarm)
ในแต่ละกรณีการสร้างผึ้งนางพญาจะเริ่มเมื่อผึ้งงานได้รับสารเฟอโรโมนจากผึ้งนางพญาน้อยลง  ในกรณีแรกที่ผึ้งนางพญาหายไปผึ้งงานจะสร้างหลอดนางพญาหรือควีนเซลล์ที่เตรียมจากเซลล์ผึ้งงานที่มีตัวอ่อนผึ้งเพศเมียซึ่งเพิ่มออกจากไข่แล้วให้อาหารรอยัลเจลลี่เพิ่มขึ้น  ถ้าไม่มีตัวหนอนลักษณะดังกล่าว  ตัวอ่อนที่ผึ้งงานเลือกมักอายุน้อยกว่า  วัน  แต่อาจถึง  วันถ้ามีตัวอ่อนน้อย  ดังนั้นถ้าเห็นหลอดนางพญาเกิดขึ้นกลางแผ่นรวงรังแสดงว่าผึ้งนางพญาตัวเดิมได้หายไปแล้ว
ในกรณีที่  และ  ผึ้งงานจะสร้างเซลล์ของผึ้งนางพญาในลักษณะห้อยหัวลง  อยู่ด้านล่างของรวงรัง  ดังนั้นตัวอ่อนจะเจริญห้อยหัวลง  ผึ้งงานจะเลี้ยงตัวอ่อน  นางพญาผึ้งด้วยรอยัลเยลลี่  มากกว่า  วัน  คือให้กินตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโต  ต่อมาเซลล์จะถูกปิดประมาณวันที่   นับจากวางไข่  จากนั้นตัวอ่อนผึ้งนางพญาจะปั่นไหมหุ้มตัวในระยะดักแด้  การกินรอยัลเจลลี่ทำให้มันโตเร็วกว่าผึ้งวรรณะอื่น ๆ  และออกจากเซลล์ได้ในเวลา  15 – 16  วัน  หลังวางไข่  เมื่อเจริญสมบูรณ์จนลอกคราบสุดท้ายแล้ว  ฝาปิดเซลล์จะถูกกัดโดยรอบ  แล้วจึงใช้หัวดันเซลล์เปิดออก  ต่อจากนั้นผึ้งนางพญาตัวเต็มวัยจะคลานออกมา
ผึ้งนางพญาที่ออกจากเซลล์จะมีพลังงานและความว่องไวมากกว่าผึ้งงานและผึ้งตัวผู้  หลังจากออกมามันจะกินน้ำผึ้งบ้างเล็กน้อยโดยที่ยังไม่มีผึ้งงานมาสนใจด้วยเลย  มันจะเลี้ยงตัวเองยังไม่มีการเข้าสังคม  และจะเริ่มเดินตรวจหาทำลายตัวอ่อนในควีนเซลล์อื่น ๆ  ถ้าหากพบคู่แข่ง  คือ  ผึ้งนางพญาสาว ๆ ด้วยกัน  จะเกิดการต่อสู้และฆ่ากันจนกระทั่งเหลือเพียงตัวเดียวที่แข็งแรงที่สุด  ระยะนี้ผึ้งนางพญาตัวใหม่จะได้รับความสนใจจากผึ้งงานมากขึ้นโดยเข้ามาป้อนอาหาร  หลังจากนั้น  วันผึ้งนางพญาจะเริ่มออกบิน  เพื่อสังเกตตำแหน่งของรังก่อนและจะบินบ่อยขึ้นในวันที่  ในวันที่ ถ้าอากาศยังสงบและแจ่มใส  มันจะออกบินไปผสมพันธุ์กับตัวผู้หลายตัว ( 10 – 17  ตัว)จนได้รับสเปอร์มเพียงพอแล้วจึงจะบินกลับรัง
3.3  จำนวนผึ้งในรัง
                จำนวนผึ้งภายในรังเป็นไปตามสถานะของรังผึ้ง  ว่าในช่วงใดต้องการผึ้งในวรรณะใด  เพื่อการดำเนินกิจกรรมของสังคมผึ้งให้อยู่รอดและขยายพันธุ์ต่อไปได้  ซึ่งผึ้งงานจะเป็นตัวกำหนดในเบื้องต้น  ด้วยการสร้างรวงรังเพื่อให้ผึ้งแม่รังวางไข่และเก็บสะสมอาหาร  ก่อนที่ผึ้งแม่รังจะวางไข่  ผึ้งแม่รังจะมุดเข้าไปสำรวจภายในหลอดรวงก่อน  โดยจะใช้ขาคู่หน้ากางออกวัดขนาดของหลอดรวง  หลังจากนั้นจะหันกลับและหย่อนปล้องท้องลงไปวางไข่ที่ก้นหลอดรวง ๆ ละ  1 ฟอง  การที่ผึ้งแม่รังใช้ขาคู่หน้ากางออกวัดความกว้างของหลอดรวงนั้น  เป็นการบ่งถึงชนิดของไข่ที่ถูกปล่อยออกมา  ถ้าหลอดแคบหรือกว้างกว่าหลอดผึ้งตัวผู้  ผึ้งแม่รังก็จะปล่อยไข่ที่ได้รับการปฎิสนธิจากน้ำเชื้อตัวผู้  ที่จะบ่งเพศว่าเป็นผึ้งเพศเมียที่จะเจริญเป็นผึ้งงานและผึ้งแม่รัง  ถ้าหลอดเป็นหลอดผึ้งตัวผู้  ผึ้งแม่รังก็จะวางไข่ที่ไม่ได้รับการผสมกับเชื้อตัวผู้  ที่จะเจริญเป็นผึ้งตัวผู้  วรรณะและจำนวนประชากรผึ้งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามที่กำหนดไว้
3.4 อาหารผึ้ง
                เกสรและน้ำหวาน  เป็นแหล่งอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาเป็นตัวเต็มวัย  ผึ้งเก็บอาหารเหล่านี้ได้จากพืชอาหารผึ้งซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับผึ้ง  ยังไม่มีแหล่งใดที่ให้ธาตุอาหารดีที่สุดเท่าที่ผึ้งเก็บได้จากพืชอาหารผึ้ง
                เกสรประกอบด้วย  โปรตีน  6 – 28 % ไขมัน  1 – 2  %  ปกติมีน้อยกว่า 5 %  คลอเรสเตอรอลน้อยกว่า  0.5 % เกสรเป็นแหล่งโปรตีนของผึ้ง  ในขบวนการเมตาบริซึมที่ผึ้งไม่สามารถสังเคราะห์ cholesterol  ได้ถ้าไม่มีสารต้นกำเนิดที่อยู่ในเกสรพืช   เกสรประกอบด้วยแป้ง  น้ำตาล วิตามิน และเกลือแร่ ทั้งหมดสำคัญต่อผึ้ง  เกสรจะถูกขนย้ายโดยผึ้งงานวัยหาอาหาร  เกสรที่ผึ้งเก็บมาใส่ในหลอดรวงจะถูกเติมด้วยกรดและน้ำผึ้งและถูกยัดเข้าสู่หลอดรวง  เพื่อป้องกันการงอกของเกสรและการเสื่อมสภาพของเกสรจากการกระทำของแบคทีเรีย  และอาจมีเอนไซม์ที่เติมโดยผึ้งหรืออาจจะมาจากการกระทำของแบคทีเรียที่มีประโยชน์จากขบวนการหมักเกสร  เมื่อเกสรผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์ในการเก็บ  เรียกเกสรนี้ว่า  bee  bread  ซึ่งผึ้งพร้อมที่จะกินและย่อยเกสรนี้  จะได้ธาตุอาหารที่ผึ้งต้องการ   สำหรับปริมาณเกสรสำหรับเลี้ยงตัวอ่อนผึ้งงานจนเป็นตัวเต็มวัย  ใช้เกสรประมาณ   125 – 145  มกมีโปรตีนประมาณ  30   มกความต้องการเกสรในรอบปีของรังหนึ่ง ๆ  มีประมาณ  15 – 50  กิโลกรัม

4.  น้ำผึ้ง (Honey)

                น้ำผึ้ง  เป็นผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่งน้ำหวานอื่น ๆที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้และผ่านขั้นตอนทางเคมีและกายภาพโดยเกิดจากการแปรรูปน้ำหวานด้วยน้ำย่อยอินเวอร์เทส  ในปากและกระเพาะเก็บน้ำผึ้งของผึ้ง ทำให้เกิดการย่อยน้ำตาลซูโครสและฟรุคโตสมาเป็นน้ำผึ้ง  
                น้ำผึ้ง  มีลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหวานจากดอกไม้ที่ผึ้งเก็บมาทำเป็นน้ำผึ้ง  น้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติจะมีรสหวานจัด  กลิ่นหอม  มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้ม  แล้วแต่แหล่งที่ได้มา 
                ลักษณะน้ำผึ้งที่ดีควรมีลักษณะข้นและหนืดซึ่งแสดงว่ามีน้ำน้อย  มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งและดอกไม้ตามแหล่งที่ได้มา  สะอาดปราศจากกากไม่มีไขผึ้งหรือขี้ผึ้งปนไม่ว่าน้ำผึ้งนั้นจะมีสีเข้มหรือสีอ่อน  มีสีใสไม่ขุ่นทึบ  ที่ผิวของน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ในภาชนะปราศจากฟองอากาศและต้องไม่มีซากวัสดุต่าง ๆ  แขวนลอยอยู่  การที่น้ำผึ้งมีฟองอากาศอยู่มากและมีลักษณะเหลว  ถ้าเปิดภาชนะดมดูจะมีกลิ่นบูดเปรี้ยวแสดงว่าน้ำผึ้งนั้นบูดแล้ว  โดยมีเชื้อส่าทำปฏิกิริยาของส่านั่นเอง  น้ำผึ้งที่ดีควรมีรสหวาน  หอมไม่ขมเฝื่อน  ไม่มีรสหรือกลิ่นไหม้ที่แสดงว่า  น้ำผึ้งนั้นได้รับความร้อนสูงเกินไปในขบวนการเก็บหรือการบรรจุ




5.  ไขผึ้งหรือขี้ผึ้ง

                ไขผึ้งหรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อของขี้ผึ้งนั้น  เป็นสารที่มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นไขผลิตจากต่อมไขซึ่งมีอยู่  คู่  ซ่อนอยู่ภายในปล้องท้องด้านล่างของผึ้งงาน  ผึ้งงานตัวเต็มวัยจะมีต่อมไขนี้เจริญดีที่สุด  เมื่อมีอายุประมาณ  สัปดาห์  โดยที่มันผลิตไขผึ้งออกมาในรูปเกล็ดบางสีขาวบริสุทธิ์เหมือนน้ำนม   ผึ้งงานใช้เกล็ดไขผึ้งนี้ในการสร้าง  ซ่อมแซม  และปิดฝาหลอดรวง  ไขผึ้งเป็นสารที่สังเคราะห์มาจากน้ำภายในระบบทางเดินอาหารของผึ้งงาน  ไขผึ้งบริสุทธิ์จะมีกลิ่นคล้าย ๆ  น้ำผึ้ง  ด้วยเหตุที่มันมีกรดผสมอยู่ด้วยในองค์ประกอบ  ไขผึ้งที่หลอมเหลวจะทำปฏิกิริยากับโลหะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ไขผึ้งสัมผัสกับโลหะนานจนเกินไปจนทำให้ไขผึ้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ  โดยทั่วไปไขผึ้งเป็นของแข็งมีลักษณะอ่อนนิ่มเป็นมัน  เมื่อได้รับความร้อนเพียงเล็กน้อยจะอ่อนตัวและหลอมเป็นของเหลวได้ง่าย  ไขผึ้งที่หลอมเหลวจะกลับมีคุณสมบัติดังเดิมได้เมื่อเย็นลง
               




6.  รอแยลเจลลี่  (Royal  jelly)
                รอแยลเจลลี่ คือ  สิ่งที่ขับออกมาจากต่อมอาหาร (Food gland) ซึ่งอยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน โดยเฉพาะผึ้งงานที่มีอายุ 5 – 15 วัน เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เมื่อผึ้งงานให้อาหารแก่ตัวอ่อนเพศเมียของผึ้ง ตั้งแต่เริ่มฟักออกจากไข่จนเข้าดักแด้ ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตกลายเป็นผึ้งแม่รังที่สมบูรณ์ 

7.  โพรโพลิส (Propolis)  หรือยางไม้
                โพรโพลิส คือ  สารเหนียวหรือยางเหนียว ๆ ที่ผึ้งเก็บมาจากตาหรือเปลือกของต้นไม้เพื่อใช้ปิดรอยโหว่ของลังเลี้ยงและห่อหุ้มศัตรูที่ถูกผึ้งฆ่าตายในรังผึ้ง  แต่ไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังผึ้งได้ โพรโพลิสที่ได้จากผึ้งจะมีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าเชื้อโรค (Antiseptic) ด้วย 

8.  เกสร (Pollen)
                เกสรคือ  เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บรวบรวม  โดยการเข้าไปคลุกเคล้ากับอับเกสรให้เกสรติดตามตัวและใช้ขาปัดเขี่ยรวมกันเป็นก้อน  ติดไว้ที่ขาหลังบริเวณอวัยวะที่เรียกว่าตะกร้า  เก็บเกสร  และขนบินกลับมาเก็บยังรังเพื่อเป็นอาหารประเภทโปรตีน  สำหรับประชากรในรังและโดยเฉพาะใช้เลี้ยงตัวอ่อน  เกสรที่นำมาบ่มในรังจนผนังเกสรนุ่ม  จะถูกนำไปเลี้ยงผึ้งงานตัวอ่อนที่มีอายุมากกว่า  วัน  โดยบดผสมกับรอแยลเจลลี่  องค์ประกอบในเกสรพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน  แต่โดยทั่วไปแล้วมีโปรตีนเป็นพื้นฐานและมีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น  ไขมัน  คาร์โบไฮเดรท  เอ็นไซม์  แร่ธาตุต่าง ๆ และวิตามิน

9.  พิษผึ้ง  (Bee  Venom)
                พิษผึ้ง  คือ  สารประกอบโปรตีนที่ผึ้งปล่อยออกมาจากต่อมสร้างพิษ  ผ่านออกทางเหล็กในของผึ้ง    ผึ้งงานเมื่อเกิดขึ้นมาในระยะแรกนั้นยังสร้างพิษไม่ได้แต่หลังจากอายุในช่วง  10 – 14  วัน  ปริมาณพิษผึ้งจะมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  และจะทำหน้าที่ในการป้องกันรังจากศัตรู   องค์ประกอบทางเคมีของพิษผึ้งมีคุณค่าทางการแพทย์  เช่น  ฮีสตามีน(histamine)    เซอโรโตนิน(serotonine)   โดพามีน(dopamine)  ฯลฯ  และนอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนและเอ็นไซม์  เป็นองค์ประกอบเล็กน้อย

10. การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานน้ำผึ้ง
     10.1   มาตรฐานน้ำผึ้ง
                - ความชื้นร้อยละไม่เกิน 21
                - น้ำตาลรีดิวซิ่งคิดเป็นน้ำตาลอินเวอร์ตร้อยละไม่น้อยกว่า 65
                - น้ำตาลซูโครสร้อยละไม่เกิน 5
                - ค่าไดเอซิเตส แอกติวิตี้ส์ (โกแตสเกล) ไม่น้อยกว่า 3
                - ไฮดรอกซีแมลทิล เฟอร์ฟิวรัล (มก./กก.) ไม่เกิน 80
     10.2   อายุของน้ำผึ้ง
                แม้ว่าจะเก็บไว้ได้นานแต่ควรรับประทานก่อน 2 ปี เพื่อความสดใหม่ ในรสชาติของน้ำผึ้ง
      10.3   การเลือกซื้อน้ำผึ้ง
                ปัจจุบันมีน้ำผึ้งวางขายอยู่ในตลาดหลายประเภทและหลายชนิด มีทั้งน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า และได้จากผึ้งพันธุ์ที่ผู้เลี้ยงผึ้งนิยมเลี้ยงกันเป็นอาชีพ ผึ้งพันธุ์นี้เป็นผึ้งที่ผู้เลี้ยงผึ้งเเข้าไปจัดการผึ้งได้ ทำให้ได้น้ำผึ้งหลายชนิด มีน้ำผึ้งจากสาบเสือ ขี้ไก่ย่าน นุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เงาะ ยางพารา งา มันสำปะหลัง ทานตะวัน พืชป่าอีกหลายชนิด กรรมวิธีในการเก็บน้ำผึ้งที่แตกต่างกัน ทำให้น้ำผึ้งที่ได้มีคุณภาพต่างกันด้วย อีกทั้งยังมีน้ำตาลละลายน้ำ ที่ผู้ขายหาบชายแล้วบอกว่าเป็นน้ำผึ้ง หรือสารละลายน้ำตาลเข้มข้นที่วางอยู่ในร้านค้าต่างๆ ความหลากหลายทั้งชนิดและคุณภาพน้ำผึ้งนี้ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเลือกซื้อน้ำผึ้ง บางครั้งอาจจะได้น้ำผึ้งปลอมก็ได้ การที่จะได้น้ำผึ้งแท้ ได้มาตรฐาน มีข้อพิจารณาดังนี้
                1) การดู น้ำผึ้งที่ดีต้องบรรจุอยู่ในภาชนะที่สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน ไม่มีฟองอากาศ มีความหนืดสูง(มีน้ำน้อย) คือ เอียงภาชนะใส่น้ำผึ้งแล้วน้ำผึ้งไหลไปตามขอบภาชนะช้า การทดสอบโดยการหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษชำระ หยดน้ำผึ้งลงในน้ำชา หรือการนำไม้ขีดไปจุ่มในน้ำผึ้ง แล้วไปขีดข้างกล่อง วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการทดสอบปริมาณน้ำในน้ำผึ้งเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าน้ำผึ้งนั้นเป็นน้ำผึ้งแท้ เพราะสารละลายน้ำตาลที่เข้มข้นก็ให้ผลไปในทำนองเดียวกัน สีของน้ำผึ้งจะมีสี(1)ตามชนิดของพืชที่ให้น้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งสาบเสือจะมีสีเหลืองอ่อน น้ำผึ้งลิ้นจี่มีสีขาวใส น้ำผึ้งลำไยมีสีน้ำตาลอ่อน เป็นต้น(2)อายุของรวงผึ้ง รวงผึ้งที่ใหม่จะให้น้ำผึ้งสีตรงตามชนิดของพืชที่ให้น้ำผึ้ง รวงผึ้งเก่าที่จะให้น้ำผึ้งสีดำขึ้น(3)ตามระยะเวลาของการเก็บน้ำผึ้งของน้ำผึ้ง น้ำผึ้งที่เก็บไว้นานจะมีสีเข้มขึ้น ตามระยะเวลาที่มากขึ้น เก็บน้ำผึ้งไว้นานน้ำผึ้งจะมีสีดำ น้ำผึ้งที่มีสีดำต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะน้ำผึ้งสีดำนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของพืช อายุของการเก็บน้ำผึ้งแล้ว ยังขึ้นอยู่กับน้ำผึ้งได้รับความร้อน(ถูกต้ม)เพื่อการระเหยน้ำออกจากน้ำผึ้งด้วย คุณภาพน้ำผึ้งจะต่ำลง
                2) ดม น้ำผึ้งมีกลิ่นเฉพาะตัวเป็นไปตามชนิดของพืชอาหารผึ้ง น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ที่แสดงให้รู้ว่าน้ำผึ้งนั้นบูดเสีย หรือน้ำผึ้งมีกลิ่นเหม็นไหม้ที่แสดงให้รู้ว่าน้ำผึ้งนั้นผ่านการให้ความร้อนเพื่อระเหยน้ำออกจากกน้ำผึ้ง
                3) การชิม การชิมน้ำผึ้งเป็นวิธีการตรวจสอบน้ำผึ้งที่ง่าย ประหยัดและรวดเร็วน้ำผึ้งแต่ละชนิดมีรสเฉพาะตัว ผู้ที่กินน้ำผึ้งหลายชนิดและบ่อยครั้งจะสามารถแยกชนิดของน้ำผึ้งได้ น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่มีรสเปรี้ยวหรือขมเผื่อน ต้องไม่มีรสของน้ำตาลที่ใช้เลี้ยงผึ้งด้วย
                หลักการทั้ง3 ข้อนี้เป็นข้อพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อน้ำผึ้งได้ตรงตามชนิดและคุณภาพที่ต้องการ ทั้งนี้ผู้ที่เลือกซื้อ จะต้องฝึกฝนตนเองกับน้ำผึ้งแท้ที่มีมาตรฐาน
                การเลือกซื้อน้ำผึ้ง ควรเลือกซื้อน้ำผึ้งที่ดีมีคุณภาพ มีกลิ่นหอมและมีรสหวานตามธรรมชาติ มีความใสปราศจากสารแขวนลอยเมื่อนำภาชนะบรรจุส่องกับแสง ปราศจากฟองอากาศ มีความข้นเหนียวหรือมีปริมาณความชื้นต่ำ อยู่ในช่วงร้อย 17 - 18.5
      10.4   การทดสอบน้ำผึ้ง 
                น้ำผึ้งปลอมหรือการปลอมปนน้ำผึ้งได้เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้นานแล้วรวมทั้งในประเทศไทยด้วย เพราะน้ำผึ้งแท้นั้นจัดเป็นของหายากและมีความต้องการมากกว่าการผลิตได้ตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุให้มีการปลอมปนน้ำผึ้งกัน โดยจะปลอมปนน้ำตาล, แบะแซ, น้ำตาลทรายเคี่ยวหรือคาราเมลลงไปปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคต่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือการตรวจสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยตนเอง โดยมีวิธีการตรวจคุณภาพน้ำผึ้งอย่างง่าย ๆหลายวิธีการ ดังนี้
                                1) ตรวจสอบโดยสังเกตจากลักษณะทางกายภาพ
                                                -  มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
                                                -  มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาล ใส ไม่ขุ่นทึบ
                                              -  มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
                                              -  ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
                                               -  ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
                                               -  ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
                                               -  การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึม
2) เขย่าขวดดูฟองอากาศและการแยกชั้น โดยน้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว ไม่เห็นการแยกชั้นของน้ำผึ้ง ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก ลอยตัวช้า มองเห็นการแยกตัวเป็นชั้น(การทดสอบการไม่เข้ากันของน้ำตาล)
                                3) การหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชูเพื่อตรวจดูการซึมผ่าน โดยที่น้ำผึ้งแท้นั้นจะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็วหรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุเนื่องจากมีปริมาณของน้ำเจือปนมาก (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
                                4)เอาหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดติดไฟที่ข้างกลัก โดยน้ำผึ้งแท้ไม้ขีดนั้นจะสามารถจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติด (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
                                5) การเอาน้ำผึ้งหยดลงในแก้วใส่น้ำเย็น โดยน้ำผึ้งแท้จะรวมเป็นก้อนจมลงก้นแก้วและค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันทีเนื่องจากมีการยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยกว่าน้ำผึ้งแท้ (การทดสอบการเจือปนปริมาณน้ำในน้ำผึ้งแต่อาจไม่สามารถใช้จำแนกน้ำผึ้งที่ปนแบะแซหรือคาราเมลได้)
                                6) การทิ้งให้ตกผลึก มีหลายท่านเข้าใจผิดว่าน้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึกแต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึก แต่รูปแบบของผลึกที่เกิดขึ้นนั้นจะมีความแตกต่างกัน เช่น น้ำผึ้งแท้จะมีรูปของผลึกเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนผลึกของน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือคาราเมล(น้ำตาลเคี่ยว)จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแต่ต้องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่เกิดจากจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก
7) ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชาแก่ สังเกตการณ์ละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันแล้ว น้ำชาจะไม่เปลี่ยนสี ถ้าน้ำชาเปลี่ยนสี แปลว่ามีแนวโน้มที่มีส่วนประกอบของแบะแซผสม อยู่ในน้ำผึ้ง 
     10.5   ลักษณะน้ำผึ้งปนและปลอม 
                1)  กลุ่มที่หนึ่ง  การปลอมแบบชาวบ้าน
                                ปนปลอมแบบชาวบ้านคือ เมื่อได้น้ำผึ้งมาเล็กน้อยก็นำมาผสมกับน้ำตาลละลายน้ำและแบะแซเพื่อให้เหนียวหนืดบรรจุขวดขาย แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะบอกว่าเป็น น้ำผึ้งแท้ พร้อมท้าให้พิสูจน์ ถ้าไม่เชื่อเชิญพิสูจน์ได้ โดยบอกเทคนิควิธีทดสอบหลายอย่าง เช่น หยดลงในน้ำจะเกาะเป็นก้อน เมื่อเอาช้อนคนดูก็จะเห็นเป็นสาย หรือหยดลงในกระดาษทิชชูก็จะไม่ซึม นำหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มแล้วจุดไฟติด เป็นต้น เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่วิธีพิสูจน์ความแท้ของน้ำผึ้ง แต่เป็นเพียงการพิสูจน์ความเข้มข้นของน้ำผึ้งเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าความชื้นไม่เกิน 21% ก็จะเป็นไปตามที่กล่าวมา นี่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นให้หลงทาง น้ำผึ้งที่ปลอมด้วยวิธีนี้จะต้องทดสอบเพื่อหาส่วนประกอบ ของแบะแซ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ให้นำใบชาจีนมาใส่แก้วให้มากสักหน่อยแล้วเติมน้ำร้อนจัดๆ คนให้ได้น้ำชาแก่ที่สุด ตักเอากากชาออก จากนั้นให้เติมน้ำผึ้งลงไปประมาณ 2-3 ช้อน คนให้ทั่ว ถ้าน้ำชาไม่เปลี่ยนสี นั่นคือ น้ำผึ้งแท้
                2) กลุ่มที่สอง  การปลอมแบบมืออาชีพ
                                กลุ่มนี้เป็นการปนปลอมแบบมืออาชีพ มีความรู้และศึกษาความต้องการของตลาดน้ำผึ้งบ้านเราพอสมควร สิ่งแรกคือเขารู้ว่าบ้านเรานิยม น้ำผึ้งป่า เขาก็จะเอาน้ำผึ้งที่ได้จากการเลี้ยง ( ชนิดที่มีคุณภาพต่ำ ) ไปแต่งสี แต่งกลิ่น ผู้บริโภคต้องการสีไหน กลิ่นไหนก็สามารถทำได้ ใส่สารป้องกันการตกตะกอน แล้วนำเอาเกสรผึ้งมาผสมปนลงไป ใส่ขวดให้เป็นแบบชาวบ้าน ตั้งทิ้งไว้ระยะหนึ่งเกสรผึ้งก็จะลอยขึ้นมาที่ปากขวด แล้วบอกว่า นี่แหละน้ำผึ้งป่า กระบวนการปลอมชนิดนี้มีเอเย่นต์ส่งขายถึงชายแดนทั่วไป เช่น อ.แม่สอด จ. ตาก , จ. แม่ฮ่องสอน, อ. แม่สาย จ. เชียงราย ผู้บริโภคบางคนอุตสาห์ไปซื้อมาจากท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า หรือปอยเปต ประเทศกัมพูชา แต่กลับล้วนเป็นน้ำผึ้งปลอมจากประเทศไทย ทั้งสิ้น น้ำผึ้งที่ปลอมด้วยวิธีนี้ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิธีธรรมดา จะต้องทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อหาค่าต่างๆ ให้ได้มาตรฐานสากล ที่ได้มีการกำหนดไว้แล้ว

อกสารอ้างอิง
สิริวัฒน์  วงษ์ศิริ. 2528. หลักการเลี้ยงและขยายพันธุ์ผึ้งในประเทศไทย.  สมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กรุงเทพ: ฟันนี่พับบลิชชิ่ง.
เพ็ญศรี ตังคณะสิงห์. 2529. ชีววิทยาของผึ้ง. ฝ่ายวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง.
www.FoodScience.today.htm. 2549. น้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งปลอม.

www.sayanhoneyfarm.com. 2547. มารู้จักน้ำผึ้งกันเถอะ. ( 29  สิงหาคม  2547)

ข้อมูลจาก:โครงการหมู่บ้านพิทักษ์ป่ารักษาสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่ 





       ดอกไม้งาม ยวนยั่ว  หมู่ภู่ผึ้ง            แมลงซึ้ง  รสหวาน  ดอกไม้หนา
เข้าเกลือกกลั้ว ติดเกสร ดอกออกมา           เผยแพร่พรรณ พฤกษา อย่างพึ่งพิง




ไม่มีความคิดเห็น: